สิ่งมีชีวิตจากโลกอีกฝั่ง
ในป่าลึกแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างของสิ่งมีชีวิตขนาดสูงใหญ่เทียบเท่ามนุษย์ ทว่ามีปีกใหญ่โตและช่วงเอวลงไปเป็นลักษณะของนก กรงเล็บแข็งแรงกำลังฉีกเนื้อของอีกสิ่งมีชีวิตแล้วกินสดๆ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตัวเล็กกว่า ลำตัวยาวคล้ายงู มีเกล็ดสีเขียว ความยาวไม่ต่ำกว่าสองเมตร เลือดสีเขียวไหลหยดเปรอะเปื้อนไปทั่วพื้นและเสื้อผ้าของสิ่งมีชีวิตร่างใหญ่
พึ่บ!
เสียงใบไม้ไหวทำให้เจ้าของปีกใหญ่ที่กำลังสวาปามเหยื่ออันโอชะต้องรีบหันกลับไปมองที่พุ่มไม้ด้านหลัง แต่เมื่อไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็กลับไปกัดกินเหยื่อของตนต่อ และสุดท้ายก่อนจะกลับบ้านเขาก็ได้ล้างคราบเลือดและเกล็ดที่ติดตัวกับเสื้อผ้าออกที่ลำธารใสสะอาดในป่า จากนั้นก็สะบัดปีกสีแดงของตนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า และบินหายลับไปจากสายตาของผู้ที่แอบซ่อนตัวชมการกินมื้ออาหารนอกรีต
ในโลกธรรมดาของมนุษย์นั้นมีอีกโลกหนึ่งซ้อนทับอยู่ เป็นมิติลี้ลับที่มนุษย์ไม่อาจเอื้อมถึง นอกเสียจากว่าเป็นผู้มีญาณวิเศษที่สามารถมองเห็น ‘ออรา’ ของผู้ที่มาจากโลกนั้น และติดตามไปจนถึงประตูทางเข้า เมื่อได้รับการยอมรับจากชนชั้นสูงของโลกนั้นแล้วไซร้จึงจะเข้าผ่านประตูมิติไปได้
ต่างจากผู้ที่อยู่ใน ‘โลกหิมพานต์’ ที่สามารถเข้าออกโลกมนุษย์ได้อย่างอิสระ ทว่าก็มีข้อจำกัดอยู่ที่ว่าพวกเขาต้องอยู่ในร่างของมนุษย์เท่านั้น เป็นกฎเกณฑ์ที่ทุกชนเผ่ายอมรับกันมาตั้งแต่โบราณ และหากว่าผู้ใดที่ฝ่าฝืนกฎข้อนี้ย่อมจะถูกลงโทษตามกฎหมายของโลกนั้น ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงที่แทบจะไม่มีผู้ใดกล้าทำผิดกฎ
แม้ว่าโลกหิมพานต์จะก้าวไกลจนมีเทคโนโลยีคล้ายคลึงกับมนุษย์ กอปรด้วยพลังพิเศษของแต่ละเผ่า แต่การปกครองนั้นยังคงเป็นแบบโบราณอยู่ นั่นคือยังคงมีการแบ่งชนชั้นในบางชนเผ่า และปกครองโดยสายเลือดที่สูงส่งกว่า แม้ว่าจะเป็นเหล่าอมนุษย์ที่มีสติปัญญาล้ำเลิศ แต่ก็ยังยึดถือในระบบธรรมเนียมแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน
‘ครุฑ’ เป็นหนึ่งในชนเผ่าที่อยู่ระดับบนของชนชั้นในโลกหิมพานต์ ซึ่งในระดับเดียวกันนั้นยังมี ‘นาค’ ซึ่งเป็นคู่ปรับมาตั้งแต่โบราณกาล แม้ว่าปัจจุบันจะมีสัญญาสงบศึกกัน แต่เหล่าครุฑบางจำพวกก็ยังคงชื่นชอบที่จะลิ้มรสของเหล่านาคชั้นต่ำ ซึ่งไม่ต่างจากงูทั่วไปนัก เป็นเมนูมื้อพิเศษที่มีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้รับประทาน
ครุฑนั้นจะอาศัยอยู่ในวิมานฉิมพลี หรือป่างิ้วเป็นหลัก มีบางส่วนเป็นครุฑเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ที่อื่นในป่าหิมพานต์ แต่ส่วนใหญ่จะมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง ในวิมานฉิมพลีก็แบ่งออกเป็นเจ็ดเขต โดยเขตแดนที่หนึ่งจะเป็นเขตศูนย์กลางของวิมานฉิมพลี มีอำนาจสูงสุดในหมู่ชนชั้นปกครอง ซึ่งชนชั้นปกครองนั้นสืบทอดสายเลือดมาจากครุฑตนแรกสุดของโลก และชนชั้นปกครองมักจะมีเรื่องแย่งชิงอำนาจกับตระกูลขุนนางอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เกิดการทำร้ายกันอยู่เนืองๆ
ตระกูล ‘อนลอุษณรศมัย’ เป็นครุฑชั้นสูงตระกูลหนึ่งซึ่งปกครองเขตแดนที่หนึ่ง เอกลักษณ์ของตระกูลคือขนปีกสีแดงสด อาชีพประจำตระกูลคือทำการปกครองครุฑชั้นต่ำกว่าในอาณาเขตที่ปกครอง ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันแต่งงานกับครุฑตระกูลค้าขาย มีทายาทด้วยกันสามคน เป็นชายหนึ่ง หญิงสอง โดยโหราจารย์ประจำตระกูลนั้นบอกว่าบุตรชายคนโตเป็นสัญลักษณ์ของการค้าขายที่รุ่งเรืองและนำความโชคดีและมั่งคั่งมาให้แก่ผู้ที่อยู่ใกล้เคียง ลูกชายคนเดียวของตระกูลในรุ่นปัจจุบันจึงกลายเป็นลูกรักของตระกูลฝั่งมารดา เมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็คาดหวังว่าจะเป็นผู้สืบสานงานของตระกูลทั้งสองฝั่ง
เหล่าครุฑในชนชั้นปกครองแต่ละเขตแดนในแดนฉิมพลี มีนโยบายเดียวกันคือ ‘ต้องการผูกมิตรกับนาค’ ทว่าเหล่านาคส่วนใหญ่นั้นยังไม่ยอมรับไมตรีของเหล่าครุฑเพราะความหวาดกลัวในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น และในปัจจุบันที่ยังมีพวกครุฑกินนาคหลงเหลืออยู่ ทำให้ครุฑกับนาคจึงยังไม่ถูกกันจนถึงทุกวันนี้
“เวน จะออกไปเที่ยวเล่นอีกแล้วเรอะ?” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามเมื่อลูกชายคนเดียวแต่งตัวโก้หรูเตรียมตัวจะออกจากคฤหาสน์ ครึ่งบนนั้นเป็นมนุษย์ แต่ครึ่งล่างตั้งแต่เอวลงไปนั้นเป็นนก ร่างสูงสง่าพร้อมกับเรือนผมสีแดงที่ครอบด้วยรัดเกล้าทองคำแท้ทอประกายสูงส่ง
“ท่านพ่อ ผมน่ะเบื่อที่ต้องเรียนการเมืองการปกครองแล้ว ผมอยากไปหาประสบการณ์ค้าขายบ้าง นี่ผมก็อุตส่าห์ทำโปรตีนสูตรใหม่เพื่อไปจดทะเบียนการค้าให้ถูกกฎหมายแล้วนะ” ครุฑหนุ่มร่ายยาวพร้อมทั้งผายมือมาทางกระเป๋าเดินทางที่บรรจุสูตรโปรตีนที่ว่า
“พ่อไม่เข้าใจการค้าขายของลูกเลย” ชายวัยกลางคนเลิกคิ้วสูง มองของในกระเป๋าด้วยแววตาฉงนใจ “โปรตีนพวกนั้นเอาไว้ทำอะไรกัน?”
“ท่านพ่อ สำหรับมนุษย์แล้ว โปรตีนเป็นสารอาหารที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะเหล่านักกล้ามหรือนักเพาะกาย เพราะจะช่วยเสริมกล้ามเนื้อให้แข็งแรงและเป็นมัดสวยงาม ผมน่ะก็อยากจะมีมัดกล้ามเนื้อสวยๆ เหมือนกับมนุษย์พวกนั้นเหมือนกัน อย่างไรความนิยมชมชอบก็เหมือนกัน ผมเลยคิดว่านำไปจำหน่ายกับฟิตเนสสักที่น่าจะเข้าที” เวนระบายยิ้มกว้างก่อนจะหันมาชูนิ้วโป้งให้กับพ่อ “ท่านแม่ก็อนุญาตแล้วด้วย เรื่องการค้าขายก็สั่งสอนผมมาดี ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
“พ่อไม่ห่วงเรื่องการค้าขายหรอก” มือที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นจับบ่าผู้เป็นลูกที่บัดนี้เติบใหญ่สูงกว่าแล้ว “พ่อก็เป็นห่วงว่าลูกจะถูกพวกมนุษย์หลอกเอา ถึงจะไปโลกมนุษย์มาหลายทีแล้วก็ตาม แต่คราวนี้พ่อกังวลยังไงก็ไม่รู้”
เพราะเป็นถึงชนชั้นปกครอง เรียกได้ว่าเป็นเชื้อสายราชวงศ์ก็ว่าได้ ตำแหน่งฐานะก็อยู่ในระดับราชากับองค์รัชทายาทลำดับที่หนึ่ง เรื่องที่จะมีคนมาลอบทำร้ายย่อมเข้าใจกันดี การที่จะเดินทางไปไหนมาไหนโดยไม่มีองครักษ์เป็นเรื่องที่น่าวิตกอยู่ไม่น้อย แต่เวนเองก็ได้รับการสั่งสอนเรื่องการต่อสู้เพื่อป้องกันตนเองมาระดับหนึ่ง พ่อของเขาเองก็ไม่ได้กังขาในฝีมือของลูก แต่ความเป็นห่วงตามประสาพ่อแม่ก็ยังคงมีให้เห็นในครรลองจักษุ
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ ต่อให้พวก ‘ปักษิณนครา’ ตามไปทำร้ายผมที่โลกมนุษย์ เดี๋ยวก็จะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา พวกนั้นก็ไม่น่าทำหรอก ดีไม่ดีถ้ามนุษย์รู้เรื่องดินแดนหิมพานต์นี้เข้าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ‘เจ้าแห่งเขาไกรลาส’ คงไม่ปล่อยไว้หรอกครับ” เวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เพราะฉะนั้น งวดนี้ผมอาจจะไปนานหน่อยนะครับ การเริ่มต้นค้าขายสูตรใหม่นั้นต้องใช้เวลา แต่ว่าผมพักอยู่ที่เดิมนะครับถ้าจะส่งจดหมายมาหา”
ร่างสูงยกกระเป๋าเดินทางขึ้นมาแล้วเดินไปทางประตูทางออกคฤหาสน์ เหล่าผู้อารักขาก็ทำความเคารพพร้อมทั้งเดินไปส่ง ทว่าเวนบอกว่าขอไปคนเดียว ทำให้เหล่าผู้อารักขาต้องถอยออกมาจากเส้นทางที่เจ้านายกำลังก้าวเดิน เมื่อถึงสุดปลายทาง เบื้องหน้าเป็นหน้าผาเหวลึก คฤหาสน์นั้นตั้งอยู่บนกิ่งก้านขนาดใหญ่ของต้นงิ้ว มีแต่ผู้ที่สามารถบินได้จึงจะขึ้นมาเยี่ยมเยียนได้
ปีกใหญ่สีแดงกางออกสุดความยาว เวนโผทะยานออกจากคฤหาสน์ไป ปลายทางของเขาคือชายป่าหิมพานต์ที่ขอบเขตเวทมนตร์อ่อนแรง สามารถเชื่อมต่อมิติกับโลกมนุษย์ได้ง่าย เขาใช้เวลาบินสักพักก็มาถึงที่สุดขอบป่า กระพือปีกให้ตนเองสามารถลอยอยู่นิ่งๆ ได้ ริมฝีปากหนาร่ายคาถาบางอย่างแล้วยกมือขึ้นลากเป็นเส้นตรงกลางอากาศ พลันเกิดแสงขึ้นมาตามรอยที่ลากบนอากาศ เป็นรอยแยกที่มีมิติสีดำอยู่ข้างใน เวนใช้มือแหวกช่องว่างมิติตรงหน้าก่อนจะแปลงกายเป็นมนุษย์ แล้วเข้าไปในช่องว่างนั้น เมื่อเขาเข้าไปจนหมดทั้งตัว ช่องว่างมิติก็ปิดลง
ชายหนุ่มมาถึงห้องเช่าขนาดกลางแห่งหนึ่ง เป็นที่พำนักของเขายามที่มาเยือนโลกมนุษย์ อันที่จริงเขาจะซื้อคอนโดหรูอยู่ก็ได้ เพราะอย่างไรเสียก็มีสตางค์มากพอที่จะทำอย่างนั้น แต่เวนเลือกที่จะลองใช้ชีวิตแบบธรรมดาดูบ้าง เขาอยากรู้ว่าการค้าขายของเขาจะสามารถเลี้ยงชีพในโลกนี้ได้หรือไม่
เขาถอดสร้อยคอ สังวาล ต่างหู และรัดเกล้าทองคำแท้ออกมาเก็บไว้ในกล่อง จากนั้นส่องกระจกแล้วหวีผมที่ยาวสลวยของตนให้เข้าทรง มัดจุกครึ่งหัวให้พอไม่รุงรังปรกหน้า แม้ว่าจะอยู่ในร่างมนุษย์ มีลักษณะคล้ายคลึงกับมนุษย์แทบทุกอย่าง แต่ส่วนหนึ่งที่เขาแก้ไม่ได้เลยก็คือส่วนขนตาที่ยาวและเป็นแผงคล้ายขนนกตรงหางตา แม้ว่าจะตัดเล็มไม่ให้มันโดดเด่น แต่มันก็ยาวขึ้นเร็วผิดปกติ จนเขาก็คร้านจะจัดการ ปล่อยให้มันยาวไปอย่างนั้นแล้วโกหกคนที่ทักว่าไปติดเสริมมาแทน
เวนจัดการแต่งตัวให้เป็นทางการก่อนจะไปตระเตรียมเอกสารสำหรับจดทะเบียนการค้า รวมทั้งสถานที่ผลิตสินค้าซึ่งก็คือห้องของเขาเองด้วย เมื่อเตรียมการเรียบร้อยเขาก็ออกไปยังสถานที่ราชการ อาจจะใช้เวลาสักพักในการดำเนินการ แต่เขาก็ไม่เร่งรีบ และเฝ้ารอที่สินค้าของเขาจะได้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ
ในระหว่างที่รอหน่วยงานจดทะเบียนการค้าดำเนินการ เวนก็นั่งๆ นอนๆ เล่นอยู่ในห้อง พร้อมทั้งอ่านข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ ‘หิมพานต์นิวส์’ มีข่าวหนึ่งที่น่าสนใจ ใจความว่า ‘ค้นพบอาศรมร้างที่มีร่องรอยการอาศัยอยู่ของพญานาคที่คาดว่าอยู่ในสมัยพุทธกาล ซึ่งเมื่อก่อนนั้นเป็นเพียงตำนาน แต่เมื่อพบหลักฐานว่าเขาเคยมีชีวิตอยู่จริง และอาจมีอายุยืนถึงปัจจุบัน เพราะหลักฐานที่พบมีอายุไม่ถึงสิบปี คาดว่าพญานาคตนนั้นอาจจะอาศัยปะปนอยู่กับนาคตนอื่นในโลกหิมพานต์’
“โห น่าสนใจแฮะ ที่เคยเรียนมาก็พอรู้ว่านาคหลายตนมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่ไม่คิดว่าจะมีนาคที่เคยบำเพ็ญเพียรตั้งแต่สมัยนั้นจนถึงปัจจุบันเลย” ชายหนุ่มผมแดงกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เชื่อสายตาตามที่อ่านข่าว “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงอายุสองพันกว่าปีแล้วมั้ง สิบเท่าของเราแน่ะ”
เวนกระเด้งตัวลุกขึ้นมาจากเตียงที่นอนเล่นอยู่ เห็นโทรศัพท์มือถือแจ้งเตือนว่ามีสายเข้า เขาก็กดรับและพบว่าเป็นหน่วยงานจดทะเบียนการค้าที่กำลังดำเนินการให้เขานั่นเอง เขาพูดคุยอยู่สักพักก่อนจะวางสายไป ได้ความว่าสินค้าของเขาผ่านองค์กรอาหารและยาเรียบร้อยแล้ว ผ่านการตรวจสอบทุกขั้นตอนแล้ว และพร้อมที่จะจัดจำหน่ายได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้
“ขอให้วันพรุ่งนี้เป็นวันที่ดีเถอะ!”
วันถัดมา
เวนได้นำสินค้าของตนไปวางจำหน่ายที่ฟิตเนสแห่งหนึ่งที่ได้ทำการขออนุญาตแล้ว แผงขายของเขาอยู่ในหมวดอาหารเสริม ตัวเขาเป็นเจ้าของและผู้ขายเอง ด้วยทักษะการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมและการค้าขายที่แม่ของเขาฝึกฝนมาอย่างดี ทำให้เขาบอกข้อดีข้อเสียของผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวบรัด กระชับ แต่ได้ใจความครบถ้วน แม้ว่าจะต้องพูดเป็นหลายสิบรอบต่อวันเขาก็ยังคงมีพลังงานเต็มเปี่ยม จนกระทั่งลูกค้าฟิตเนสคนหนึ่งเดินมาตามลำพัง และใกล้จะถึงช่วงพักเที่ยงของเวน แต่เขาต้องการทักทายลูกค้าคนสุดท้ายก่อนพักเบรก จึงได้เรียกเอาไว้
“สวัสดีครับ คุณผู้ชาย สนใจสินค้าของผมมั้ยครับ?” เวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มแต่ฉะฉาน ชายหนุ่มผมสีดำที่ตัวเล็กกว่าเขาเกือบยี่สิบเซนติเมตรตวัดสายตามองด้วยหางตาก่อนจะตอบอย่างเย็นชา
“ไม่ล่ะ” แล้วเดินเข้าฟิตเนสไปโดยไม่สนใจเวนที่กำลังจะเริ่มร่ายสรรพคุณสินค้า
“เอ่อ โอเคครับ” ครุฑสีแดงยิ้มแห้งก่อนจะถอนหายใจ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ พักผ่อนทานอาหารเที่ยงแล้วกลับมาขายต่อ
เป็นเวลาสัปดาห์กว่าแล้วที่เวนทดลองขายสินค้าที่ฟิตเนส และพบว่ามันขายดีเกินคาด จนกระทั่งขายหมดเกลี้ยงและเขาก็ผลิตไม่ทัน ทำให้วันนั้นเขาว่างในช่วงบ่าย
คนส่วนใหญ่มักจะฟังที่เขาพูดเรื่องสินค้าเพราะน้ำเสียงที่ทุ้มนุ่ม ฟังง่าย และไม่เวิ่นเว้อหรืออธิบายอะไรซับซ้อน ทำให้หลายคนสนใจสินค้าของเขาจนซื้อมาใช้จริง และภายในสัปดาห์ก็เห็นผลจริง รวมทั้งยังปลอดภัยและมี อย. รับรอง ทำให้มียอดสั่งจองล่วงหน้าจำนวนมาก เวนตั้งใจว่าจะผลิตให้พอดีกับจำนวนยอดสั่งจอง และเผื่อมาขายเพิ่มอีกในอนาคต
อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นโรงยิมที่มีผู้คนมากหน้าหลายตามาออกกำลังกาย ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่สนใจเรื่องออกกำลังกาย แต่ด้วยความที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยการโผบินเป็นหลัก ทำให้ร่างกายของเขาค่อนข้างพิเศษ นั่นคือกระดูกกลวง เพื่อลดน้ำหนักในการบิน การออกกำลังกายจึงต้องไม่หนักมากเพื่อที่จะไม่กระทบกับกระดูกที่พิเศษ
เวนเลือกที่จะมาออกกำลังกายกับลู่วิ่ง เพราะเขารู้สึกว่าใช้แขนกับปีกมากแล้ว แต่ขาของเขาไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อเท่าไรนักเพราะไม่ค่อยได้ใช้งานยามที่อยู่โลกหิมพานต์ พอมาอยู่โลกมนุษย์ต้องใช้มากขึ้นทำให้เหนื่อยง่าย เวนจึงเลือกที่จะออกกำลังกายขามากกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
ในขณะที่เวนกำลังจะสวมหูฟังเพื่อฟังเพลงยามวิ่ง ดวงตาสีทับทิมของเขาก็มองเห็นลู่วิ่งข้างๆ เป็นชายหนุ่มผมดำที่ปฏิเสธสินค้าเขาในทุกๆ วัน เวนสบโอกาสที่จะทำความรู้จักจึงเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริง
“สวัสดีครับ คุณ…”
“ฉันไม่ซื้อ”
ยังไม่ทันที่เวนจะได้ขายของ เขาก็โดนปฏิเสธอีกครั้ง ร่างสูงหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วฮัมเพลงไปวิ่งไปพลาง ระหว่างความเงียบโรยตัว ทั้งสองคนต่างก็ปล่อยให้เสียงฝีเท้าและเครื่องวิ่งดำเนินไปเรื่อยๆ
“คุณจะไม่ซื้อจริงๆ เหรอครับ?” เวนเอ่ยถามขึ้นมา “สินค้าของผมคุณภาพดีนะ แล้วก็ราคาถูก เห็นผลไวด้วย ได้รับการรับรองจาก อย. เรียบร้อย แล้วก็ถ้าเป็นสมาชิกจะได้รับส่วนลดทุกครั้งที่ซื้อด้วยนะครับ”
“ฉันมีเจ้าประจำอยู่แล้ว ไม่จำเป็น” เจ้าของเรือนผมสีดำเป็นประกายพูดด้วยน้ำเสียงติดหอบเล็กน้อย เขาวิ่งมาได้ระยะหนึ่งแล้ว กำลังจะหยุดพักพอดี
“น่าเสียดายจังนะครับ เจ้าประจำของคุณดูเหมือนจะเริ่มขายไม่ค่อยออกแล้ว” คนผมแดงว่าพลางเหล่มองคนข้างๆ พบว่าเป็นคนที่มีใบหน้าขาวนวล มีเลือดฝาดจากการวิ่ง คิ้วบาง ดวงตาสีดำสนิทดูราวกับความมืดมิดอันล้ำลึก
“นายรู้ได้ยังไง?” เสียงของคนที่ปฏิเสธการขายของเวนไม่ทุ้มเท่า ฟังดูคล้ายเด็กวัยแตกหนุ่ม เวนรู้สึกว่ามันรื่นหูจนอยากฟังอีกเรื่อยๆ
“ก็คุยกับเขามา เขาบอกว่าตั้งแต่ผมมาขายเนี่ย แผงของเขาก็ขายไม่ค่อยจะออกแล้ว คิดว่าจะย้ายไปขายที่อื่นน่ะครับ” เวนที่วิ่งมาสักพักแล้วเหนื่อยก็เริ่มปรับระดับให้ช้าลง กลายเป็นเดินธรรมดาแทน
“แค่ขายแพ้นายหนึ่งสัปดาห์ก็จะไปขายที่อื่นเลยเหรอ? อย่ามาโกหกเลยน่า” ชายคนนั้นยังคงไม่มองหน้าเวน จนกระทั่งเขาก็เริ่มปรับระดับเป็นเดินเพื่อคูลดาวน์ ค่อยหันมามองหน้าเวน “อ๊ะ-!!”
ตุบ!
ร่างของชายผมดำก็เกิดสะดุดขาตนเองขึ้นมาและลื่นล้มจนได้แผลถลอกที่เข่าและศอก เวนที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ตกใจแล้วลงจากลู่วิ่งไปช่วยพยุง
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” เขาช่วยประคองร่างที่เล็กกว่าให้ลุกขึ้นยืน และสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่แผลถลอกตรงเข่า มันเป็นของเหลวสีเขียวที่ซึมอยู่ตรงปากแผล เวนเบิกตากว้างก่อนจะมองหน้าของคนข้างๆ
“มะ-ไม่เป็นอะไร!” คนผมดำมีสีหน้าตื่นตระหนกก่อนจะสะบัดแขนของเวนที่ประคองอยู่ แล้วรี่ไปที่ห้องน้ำทันที ไม่ให้เวนได้ตั้งคำถามอะไรอีก
“เดี๋ยว! คุณ…!!” ครุฑผมแดงพยายามร้องเรียกให้รั้งรอ แต่ก็ได้แต่เดินตามไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
สีเขียวนั่น…เลือดเหรอ?
ของเหลวสีเขียวนั่นคล้ายกับเลือดของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจากโลกหิมพานต์ ซึ่งเขารู้ดีว่ามีตัวตนอะไรบ้างที่เลือดสีเขียวและมีพลังอำนาจมากพอที่จะแปลงกายเป็นมนุษย์และอาศัยอยู่ที่แห่งนี้ได้
To be continued…