[บทที่1]
Fan club!
‘จ้าวอัน! แก อีเพื่อนทรยศ! ทำไมแกถึงมีดวงขนาดนี้…ฮือออออ’ เสียงคร่ำครวญยังดังก้องอยู่ในหูเขาแว่ว ๆ แม้ว่าจะแยกจากกลุ่มเพื่อนมาได้ประมาณสามสิบนาทีแล้วก็ตาม เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มวัยยี่สิบต้น ๆ คือกลุ่มคนซึ่งประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเพศหญิง และนี่คืองานที่น่าจะมีคนลงทะเบียนเอาไว้ไม่ต่ำกว่าหมื่นคนแน่นอน ทั้ง ๆ ที่ความจุสถานที่จัดงานคือหนึ่งพันคนถ้วนเป๊ะ ๆ
ใช่แล้ว งานเปิดตัวสินค้าที่มี ‘หวัง หยวน’ คนนั้นเป็นพรีเซ็นเตอร์!
ผู้ลงทะเบียนแจ้งความจำนงเข้าร่วมงานออนไลน์ทั้งหมดจะถูกรวบรวมรายชื่อและจับสลาก เพื่อเข้าสู่งานมินิแฟนมีตติ้งที่จัดขึ้นหลังงานประกาศตัวพรีเซ็นเตอร์ และก็เป็นโชคของเขาแท้ ๆ ที่มีโอกาสได้เข้าร่วมงาน ส่วนเพื่อนอีกสองคนซึ่งเป็นแฟนคลับตัวจริงกลับโดนทิ้งเอาไว้ข้างนอก
จุดประสงค์ของเขาไม่ได้มาเพื่อกรี๊ดศิลปินเหมือนกับคนอื่นเสียด้วยสิ
แน่นอนว่าเขารู้จัก หวัง หยวน อดีตนายแบบผันตัวที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการบันเทิงอยู่ขณะนี้ นอกจากจะไปโลดแล่นในฮอลลี่วู้ดถึงสองครั้งแล้ว คน ๆ นี้ยังเป็นตำนานแห่งวงการบันเทิง ที่ทำงานแสดงละคร พิธีกร ไปพร้อม ๆ กับการเป็นนักกีฬายิงปืน ซ้ำยังได้รางวัลเหรียญเงินในการแข่งประเภทปืนสั้นยิงเร็วมาอีกต่างหาก จนได้รับคำชมล้นหลามทั้งจากคนในวงการยิงปืนและวงการบันเทิงไม่ขาดปาก
“ผู้โชคดีท่านต่อไปเชิญครับ” เสียงของสต๊าฟเรียกเขากลับมาสู่โลกความเป็นจริง หลังเพ้อฝันเล็กน้อยว่านักแสดงหนุ่มคนนั้นน่าจะพาคน (?) ที่เขาอยากเจอมาด้วย…ใช่แล้ว จ้าวอันไม่ได้มาเพื่อเจอท็อปไอดอลหวังหยวนโดยตรง
อ้าว… แล้วนายมาทำอะไรที่นี่?? ทุกคนน่าจะอยากถามอย่างนั้นล่ะสิ
ก็นะ… จริง ๆ มีเรื่องอยากพูดกับหวังหยวนต่อหน้า แต่เขาคิดว่าตัวเองคงไม่โชคดีถึงขนาดได้สิทธิ์เอ็กซ์คลูซีฟที่จะจับสลากโดยเจ้าตัวหลังเริ่มงานมินิแฟนมีตติ้งหรอก เพราะงั้นเลยกะว่าจะฝากไว้ที่สต๊าฟหรือทีมงานแทน
ครืด ครืด
การสั่นสะเทือนของสมาร์ทโฟนซึ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกง ทำให้ต้องหยิบขึ้นมาดูอย่างเสียไม่ได้
พวกนั้นต้องรัวข้อความลงแชทกลุ่มแน่ ๆ
แล้วก็เป็นไปตามคาด
คนสวยของกลุ่ม : จ้าวอัน! อิทรยศ ไหนบอกว่าไม่ได้ติ่งเขาไงยะ! ทำไมแกไม่สละสิทธิ์ให้ช้านนนนน
เจ้าแม่แฟชั่น : เสี่ยวอัน* เจ้ขอได้มั้ย มาสลับร่างกับเจ้ที สลับวิญญาณก็ได้ เจ้อยากเข้าปายยยย
ไป๋ผู้ไม่บริสุทธิ์ : โอ๊ย พวกเธอเลิกฟลัดข้อความได้แล้ว!!
ชื่อเราไม่ใช่เส้าหลิน : เจ้าอัน ถ้าออกมาแล้วก็โทรบอกนะ พวกเราจะไปหาที่นั่งรอ
ข้อความสุดท้ายถูกส่งมาเพื่อเปิดช่องให้เมินบทสนทนาทุกอย่างข้างบนอย่างรู้เกม
อันอัน : รับทราบ
หลังกดส่งข้อความตอบกลับไปในกลุ่ม เด็กหนุ่มก็เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าและเงยหน้าขึ้นเพื่อดูนักแสดงในตำนานที่ทุกคนอยากจะเจอ
หวังหยวน…
กรี๊ดดดดดดดด!
เสียงเซอร์ราวน์ดังขึ้นรอบทิศทาง จ้าวอันอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นปิดหู ถึงแม้จะอยากเจอนักแสดงคนเก่งขนาดไหนก็ตาม แต่ความเป็นจริงแล้วมนุษย์เก็บตัวอย่างเขายังไม่เข้มแข็งพอที่จะรับมือกับฝูงชนจำนวนขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจำนวนหนึ่งพันคนมันจะดูไม่มากเมื่อเทียบกับงานแฟนมีตติ้งจริง ๆ ก็เถอะนะ
แต่มันใช่จำนวนน้อย ๆ เสียเมื่อไหร่กัน
ตายแน่…ตายแน่ ๆ
เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลเข้มเบ้หน้า เขาไม่น่าทำตัวอวดเก่งเข้ามาเองเลย ถ้ายกสิทธิ์นี้ให้เพื่อนสาวคนสวยแล้วฝากของเข้ามาก็คงดี มาถึงจุดนี้ไม่มีใครช่วยเขาได้แล้วด้วย เอาวะก็แค่มองหาสต๊าฟให้มันจบ ๆ ไป
ทว่า… ก่อนที่จะได้ลงมือทำอะไรก็ตามที่ตั้งใจไว้ บนเวทีก็ดำเนินการมาจนถึงช่วงจับสลากพอดี
“เอาล่ะครับทุกคน เตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมดวงของคุณให้พร้อม ผู้โชคดีเพียงท่านเดียวเท่านั้น ที่จะได้ถ่ายรูปแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับคุณหวังหยวนนอกจากนี้ยังได้โปสเตอร์พร้อมลายเซ็นต์สดกลับบ้านไปอีกด้วยนะครับ ทุกคนพร้อมกันหรือยังคร้าบ!?” เสียงกรี๊ดกระหึ่มขึ้นอีกระลอก คราวนี้มาพร้อมกับแรงดันที่เบียดเข้ามาจนไม่สามารถขยับตัวได้ แม้จะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกระทันหัน แต่เขาก็พยายามตั้งสติและมองหาทางออก ซึ่งเสียงบนเวทีก็ไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย เพราะมันดึงความสนใจของทุกคนไปอีกครั้ง
น่าแปลกที่เวลานี้ทั่วทั้งฮอลล์พร้อมใจกันเงียบสนิท หากมีเข็มตกลงพื้นสักเล่มคงได้ยินกันทั่วแน่ ๆ นักแสดงหนุ่มของทุกคนล้วงมือเข้าไปในกล่องสลากที่สต๊าฟถืออยู่ด้านข้าง ก่อนจะส่งกระดาษสีขาวใบเล็กที่เขียนเลขบัตรแขวนคอของผู้โชคดีเอาไว้
นาทีระทึกเป็นอย่างไร เขารับรู้ได้ก็ตอนนี้นี่เอง อันได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นของคนข้าง ๆ ที่น่าจะลุ้นตัวโก่งไปพร้อมกับอีกหลาย ๆ คนในที่แห่งนี้
“ได้มาแล้วนะครับ! หมายเลขผู้โชคดีที่คุณหวังหยวนเป็นผู้เลือกด้วยตัวเอง อยากทราบกันมั้ยครับว่าเป็นใคร!!” พิธีกรคนเดิมบิวท์อารมณ์หนักขึ้นไปอีกเรียกเสียงกรี๊ดอีกระลอก
“เจ้าของหมายเลข ศูนย์ สอง ห้า แปด** โอ้ว้าว! เป็นเลขดีเสียด้วย ใครรู้ตัวว่าเป็นเจ้าของหมายเลขนี้ เรียนเชิญบนเวทีเลยครับ!” ศูนย์สองห้าแปด จะว่าไปแล้วก็คุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นเลขนี้ เขาเห็นทุกคนก้มลงมองป้ายห้อยคอของตนเองกันหมด แต่ก็ยังไม่เจอเจ้าของหมายเลขที่ประกาศ จนกระทั่งคนข้าง ๆสะกิดเข้า
“เอ่อ…คุณหมายเลขอะไรเเหรอคะ ?” เท่านั้นแหละ จ้าวอันคนดีถึงได้มีโอกาสพลิกป้ายห้อยคอของตนเองขึ้นมาดูแล้วก็พบกับเลขสี่ตัว
0 2 5 8
ชะเฮ้ย!
“หมายเลขของคุณนี่คะ รีบขึ้นไปเร็วเข้า” แฟน ๆ รอบตัวเขาเมื่อทราบว่าเจ้าของหมายเลขเป็นใครแทนที่จะเกิดการชุลมุนแย่งหมายเลขดังที่เหล่าสต๊าฟกลัวกลับกลายเป็นการรีบผลักดันให้เจ้าของเลขนั้นรีบขึ้นมาแสดงตัวแทนซะได้ นับเป็นครั้งแรกที่สต๊าฟซึ่งเตรียมตัวอยู่รอบนอกไม่ต้องออกโรงห้ามคนตีกันแย่งลัคกี้แฟน
แน่นอนล่ะ ถ้าหากเจ้าของหมายเลขเป็นผู้หญิงเหตุการณ์คงไม่ง่ายดายถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ดี พวกหล่อนยอมให้แฟนบอยผู้น่ารักคนนี้ขึ้นไปถ่ายรูปคู่ (แบบถึงเนื้อถึงตัว) กับหวังหยวนเสียยังดีกว่า… เหล่าหญิงสาวที่ออกแรงดันจ้าวอันต่างคิดเช่นนั้นกันด้วยความพร้อมเพรียง
“ไม่น่าเชื่อเลยครับ ว่าคราวนี้เราจะจับได้แฟนบอย ที่น่าจะมีอยู่ไม่เยอะเท่าแฟนเกิร์ลของคุณหวังนะครับเนี่ย” พิธีกรหัวเราะ เด็กหนุ่มยิ้มแห้งกลับไป เพราะเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าตนเองจะได้มายืนตรงนี้เหมือนกัน
ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้ตั้งใจมองหาสต๊าฟมากแท้ ๆ
“…” ด้วยความช็อกผสมมึนงง พ่อหนุ่มแซ่จ้าวเลยไม่สามารถส่งเสียงอะไรออกไปได้สักอย่าง เขาไหลตามแรงจูงมือของพิธีกรไปยืนกลางเวที ตาก้มมองรองเท้าตัวเอง แม้แต่หน้านักแสดงในดวงใจที่ติดตามผลงานมานานและอยากเจอก็ไม่มอง ซึ่งอาการลักษณะนี้คุณพิธีกรพอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง เลยมองข้ามและไม่เอ่ยอะไรออกมา
“เอาล่ะครับ เราได้ผู้โชคดีกันแล้ว งั้นมาสัมภาษณ์กันหน่อยดีมั้ยครับ นาน ๆ ทีจะได้เจอแฟนบอยของคุณหวังสักคน จริง ๆ ก็มีเยอะอยู่นะ แต่เทียบสัดส่วนกับสาว ๆ แล้วดูเป็นอะไรที่หายากไปเลย” เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็ก ๆ ตอนที่โดนแตะเเขนเรียกสติ ได้ยินเสียงพิธีกรถามเบา ๆ ว่า “เป็นอะไรไหมครับ หายใจลึก ๆนะ ไม่ต้องตื่นเต้น” ก่อนที่อีกไม่กี่วินาทีถัดมาก็มีคำถามลอยเข้าหู
“ชื่ออะไรเเหรอครับ?”
“เอ่อ…จ้าวอัน ครับ” เขาหวังว่าเสียงตัวเองคงไม่สั่น ไม่งั้นคงขายขี้หน้าแย่
“งั้นก็ คุณจ้าว ปีนี้อายุเท่าไหร่ครับ” ความจริงถามเรื่องอายุตรงนี้ หากเป็นแฟนคลับผู้หญิงคงเสียมารยาทน่าดู แต่เพราะคราวนี้เป็นแฟนคลับผู้ชายทางทีมงานจึงโล่งใจเป็นอย่างมาก
“ยี่สิบสามครับ …คิดว่า” แต่เขาเลิกนับอายุตัวเองไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ บางทีอาจจะตั้งแต่ก่อนจบมหาวิทยาลัย
เสียงกรี๊ดจากหน้าเวทีเองก็มีไม่น้อยเลย ที่ไม่ได้กรี๊ดให้กับหวังหยวน ทว่าเป็นแฟนบอยคนน่ารักที่ทุกคนเพิ่งรู้จักชื่อเมื่อนาทีที่แล้ว หลายคนพยายามหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายรูป ทว่าทีมงานรีบเข้าไปเตือนเนื่องจากแฟนคลับคนนั้นเป็นบุคคลธรรมดา และนี่ก็ไม่ใช่งานอย่างเป็นทางการจึงจะไม่มีการบันทึกเทป
“ว้าว…หน้าคุณเด็กมากเลยนะครับ ผมยังนึกว่าคุณเป็นนักศึกษาเสียอีก” แม้แต่นักแสดงหนุ่มผู้ยืนหน้านิ่งมาตั้งแต่เมื่อครู่ ก็ยังเบิกตาขึ้นน้อย ๆ ด้วยความไม่คาดคิดหลังได้ยินคำตอบเช่นเดียวกัน
นึกว่าอายุน้อยกว่านี้เสียอีก
“อ่า…โอเค ทำความรู้จักกันเรียบร้อยแล้ว เราไปถ่ายรูปแล้วก็ไฮทัชกับคุณหวังกันดีกว่าครับ” เป็นชั่ววินาทีที่จ้าวอันตื่นตัวจนถึงขีดสุด เขาจำได้ว่าตัวเองสูดหายใจเข้าเพื่อเพิ่มความกล้า ก่อนจะเดินเข้าไปหาหวังหยวนตามเสียงของพิธีกรที่กำลังอธิบายกติกาการไฮทัชและถ่ายรูป รวมถึงขอบเขตที่สามารถทำได้เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณนักแสดงตัวท็อป
เอาน่ะ ไหน ๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ให้กับเจ้าตัวเลยยังไงก็ดีที่สุด ถึงมือแน่นอน
“ความจริง…ผมมีของมาให้คุณหวังด้วยล่ะครับ” คราวนี้ไม่ใช่แค่คุณพรีเซ็นเตอร์แล้วที่งง เพราะทั้งฮอลล์ก็พร้อมใจกันเงียบกริบ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็ไม่ได้พูดออกไมค์ แต่เพราะบนเวทีมีกล้องจับอยู่หลายตัว ทำให้เหล่าแฟนคลับเห็นสิ่งที่แฟนบอยคนน่ารักกำลังจะทำอย่างชัดเจน จ้าวอันหยิบถุงกระดาษสีน้ำตาลเรียบ ๆ ออกจากกระเป๋าสะพายหลังแล้วเดินตรงไปยังคุณนักแสดงคนเก่ง เขาเว้น ระยะห่างอย่างที่แฟนคลับควรกระทำ ไม่เข้าใกล้มากเกินไป แต่ก็ไม่ได้ห่างอย่างน่ารังเกียจ ก่อนจะยื่นถุงนั้นให้
“???” เหมือนเห็นเครื่องหมายคำถามลอยเด่นบนหน้าอีกฝ่าย เด็กหนุ่มจึงยิ้มน้อย ๆ
“ฝากให้ ‘เธอ’ ด้วยครับ ผมเป็นแฟนคลับของเธอ แล้วก็ฝากสวัสดีด้วย ผมหวังว่าเธอจะสบายดี” พอพูดจบ ท่ามกลางสับสนและงุนงงของทุกคนที่ไม่เข้าใจว่าเขาพูดเรื่องอะไร จ้าวอันก็ยัดถุงนั้นใส่มือคนตรงหน้าแล้วก้าวลงจากเวทีไปอย่างรีบเร่ง เขารับเพียงโปสเตอร์ที่มีลายเซ็นต์สดเอาไว้ล่วงหน้าจากสต๊าฟ ก่อนจะปฏิเสธการรับสิทธิ์เอ็กซ์คลูซีพโฟโต้ร่วมกับคุณหวังและไฮทัช แล้วเดินออกจากฮอลล์ไปเลย
หวังหยวน ได้สติหลังจากนั้นไม่นานนัก แต่ก็ไม่ทันลักกี้แฟนบอยผู้เดินจากไปจนมองไม่เห็นตัวเเล้ว เขาจึงแกะถุงกระดาษที่ได้รับมาก่อนจะพบว่าในนั้นมี…
อาหารแมวเกรดพรีเมี่ยมขนาดหนึ่งกิโลกรัมนอนแอ้งแม้งอยู่…
อ่อ ที่บอกว่าฝากให้เธอนี่คือ…
เจ้าเฟอร์ดีน แมวขี้เหวี่ยงของเขาสินะ
สรุปเจ้าหมอนั่นไม่ได้เป็นแฟนคลับเขา แต่เป็นแฟนคลับแมวของเขางั้นเรอะ!!
“จ้าวอัน!” เสียงดังประหนึ่งฟ้าผ่าแหวกฝูงชนที่ออกันอยู่หน้าฮอลล์ให้หลีกทางได้บ้าง เจ้าของชื่อหันมาก็พบกับเพื่อนสี่คนที่รออยู่นานแล้ว
“จบงานแล้วเเหรอ? เห็นข้างในยังมีเสียงกรี๊ดอยู่เลย” เด็กหนุ่มร่างผอมสูง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงหน้าตาเหมือนคนง่วงนอน เดินมายืนข้าง ๆ แล้วตบหน้าตบตัวเช็คความเรียบร้อยของสวัสดิภาพ นี่คือหลินเส้าเทียน พ่อเก๊ของเขาเอง ส่วนคุณแม่ปลอมที่มีเพศสภาพเป็นชายทั้งแท่งอย่าง มู่ไป๋ วันนี้ติดธุระเลยไม่ได้มาด้วย
“ยังหรอก แต่ออกมาก่อนน่ะ” แว่วเสียงบ่นเสียดายจากเพื่อนสาวทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้วย พวกเธอแทบจะกอดคอกันร้องไห้เพราะจ้าวอันดันใช้เวลาไม่คุ้มค่าในการมองตำนานเดินได้คนนั้น
“จ้าวอันทำไมอ่ะ ทำมายยย ทำไมแกไม่ยอมสละสิทธิ์ให้ช้าน เนี่ย ไปก็ดันออกมาก่อน เสียดายสิทธิ์!” คนหนึ่งคือสาวลุคสวยหวานผมยาวผู้แสนจะน่ารัก ฮัวซิ่วซิ่ว แต่ขอเถอะ เรื่องนิสัยมั่นหน้ามั่นตานี่ไปสุดมากจนผู้ชายยังยอมแพ้ และที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ เจ้าตัวเป็นวิศวกรออกไซต์งานที่คุมลูกน้องเป็นชายฉกรรจ์ร่างบิ๊กทั้งนั้น
“เสี่ยวอันของเจ้…ได้เห็นคุณหวังซักเสี้ยวแว้บมั้ยคะ? เป็นยังไงบ้าง ฮือ ทำไมเจ้ถึงไม่ได้เข้าไปนะ” อีกหนึ่งคือพี่สาวของกลุ่มที่อายุห่างกันประมาณหกเดือนหยาซิง สไตลิสต์แอนด์คอสตูมแห่งวงการบันเทิง ถึงจะไม่ตัวแม่นักแต่ก็มีคนรู้จักไปทั่ว ข่าววงในทั้งหลายแหล่ที่เพื่อน ๆ ได้รู้ก็ล้วนมาจากเธอทั้งสิ้น
“พอได้แล้วมั้ยพวกเธอ อิจฉาเจ้าอันมากคราวหน้าก็ทำบุญเยอะ ๆ สิ จะได้ดวงไม่กุด” เสียงเบื่อหน่ายของชายอีกคนดังมาพร้อมกับฝ่ามือที่ฟาดลงกลางกระหม่อมเพื่อนสาวทั้งสองไม่หนักไม่เบาคนละที ฮัวซิ่วซิ่วเบ้ปากใส่ หวงซื่อจื่อ เจ้าพ่อวงการเซลล์แมนค่าตัวหกหลัก ที่ชอบทำน็อตหลุดหายนอกเวลางานเนื่องจากโอ๋เจ้าน้องเล็กของกลุ่มออกนอกหน้า
“ถ้าคราวหน้าได้บัตรอีก ฉันจะยกให้แน่นอน ดูเหมือนการเข้างานไปด้วยตัวคนเดียวจะเกินความสามารถเกินไป” จ้าวอันยอมรับแต่โดยดีว่าคนเก็บตัวแบบเขามางานแบบนี้ได้ยากจริง ๆ หลายงานที่ไปรอดก็เพราะมีเพื่อนสาวสองคนอยู่ด้วย ทำให้เขาไม่แตกตื่นมากเกินไปนัก อย่างเมื่อครู่ก็มือสั่นแทบแย่
แต่ถึงจะพูดแบบนั้น เจ้าตัวกลับยิ้มเผล่โชว์โปสเตอร์เซ็นต์สดในมือให้ดู จนสองสาวต้องกลับมากรี๊ดอีกรอบ
“น…นั่น อย่าบอกนะว่า”
“จ้าวอัน…นี่แก”
“อื้อ…ได้ลักกี้แฟนแหละ ถึงจะไม่ได้ไฮทัชกับถ่ายรูปเพราะออกมาก่อนก็เถอะ แต่โปสเตอร์เซ็นต์สดนี่ยังได้มานะ” บังเกิดคลื่นทำลายล้างจากติ่งนักแสดงตัวจริงสองคน เจ้าหล่อนชี้นิ้วสั่นระริกใส่เขาที่ยิ้มให้อย่าง ‘ร้าย’ เดียงสาสุดฤทธิ์ ส่วนเส้าเทียนกับซื่อจื่อน่ะเเหรอ นู่น…กอดคอกันกลั้นหัวเราะอยู่ข้างหลังเรียบร้อย
“อิแฟนคลับเก๊! ดวงแกทำด้วยอะไรห๊ะ!?” ฮัวซิ่วซิ่วเดือดจัดในขณะที่หยาซิงนั้น
หงายหลังล้มตึงไปแล้ว…
“กลับมาแล้วครับ…คุณพ่อคุณแม่” หนุ่มน้อยเจ้าของห้องส่งเสียงไปตามความเคยชินขณะเปิดประตู แม้ว่าจะไม่มีใครตอบกลับมาก็ตาม เขายกมือไหว้ป้ายวิญญาณสองอันซึ่งตั้งอยู่บนแท่นในห้องทางด้านขวา ยืนสงบนิ่งเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหันเลี้ยวไปยังห้องอีกฝั่งที่ถูกปิดประตูไว้ ดังนั้นเมื่อเปิดออกจึงพบกับอาณาจักรของ…
แมว…
รูปทั้งหมดล้วนเป็นรูปของแมวตัวเดียวที่เขาถ่ายเองบ้าง ตามงานเปิดตัวสินค้าอาหารแมว หรือโฆษณาร่วมกับนักแสดงต่าง ๆ เป็นรูปที่ได้มาจากอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียต่าง ๆ บ้าง ทว่ามีเพียงรูปเดียวเท่านั้นที่เขาใส่กรอบตั้งไว้ด้านในสุด เป็นรูปถ่ายเซลฟี่กับแมวตัวนั้น
แมวสายพันธุ์มัชกิ้นที่หน้าเหวี่ยงตลอดเวลาและมีชื่อว่า
เฟอร์ดีน
“วันนี้เธอก็ไม่มาอีกแล้วนะ” เขาถอนหายใจ มีไอดอลที่ชื่นชอบเป็นแมวนี่มันลำบากลำบนจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เจ้านายของเธอก็เป็นที่รู้จักดีมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่การจะได้เจอน้องเหมียวผู้มีขนปุกปุยนุ่มนิ่มและอุ้งเท้าสีชมพูอันแสนน่ารักนั้นสักครั้ง กลับต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ แรงกาย แรงใจและ…
ดวง!
แหงสิ…ก็บัตรแฟนมีตติ้งของหวังหยวนแต่ละครั้งหมดภายในห้านาทีแรกนี่นา
เขากับเพื่อนสาวทั้งสองคนต้องไปไหว้พระกันตั้งกี่วัด กว่าจะกดบัตรแต่ละครั้งได้
“ถ้าเป็นโปสเตอร์รูปกับรอยประทับอุ้งเท้าของเธอต่อให้ต้องประมูลฉันก็ยอม” เด็กหนุ่มวางโปสเตอร์ที่มีลายเซ็นต์สดของนักแสดงหนุ่มชื่อดังกองเอาไว้กับของอื่น ๆ ในมุมของ ‘หวังหยวน’ ซึ่งเป็นเพียงมุมเล็ก ๆ มุมหนึ่งที่เขาแยกไว้ในห้องนั้น ของทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นดีวีดีบ็อกซ์ซีรีย์ โปสเตอร์ หรือพัดใสถูกสุมรวมกันอย่างไม่ใส่ใจ ในขณะที่อีกฟาก รูปของเฟอร์ดีนกลับได้รับการจัดเรียงอย่างสวยงามตามองค์ประกอบการจัดวางแสดงผลงานประหนึ่งกำลังตั้งโชว์อยู่ในหอศิลป์
ดูแค่นี้ก็น่าจะรู้แล้วว่าพ่อหนุ่มคนนี้เป็นแฟนคลับใครกันแน่
ถึงแม้เขาจะโผล่เข้าไปในงานที่จัดขึ้นเพื่อแฟนคลับของหวังหยวนก็ตาม แต่แท้จริงแล้วหนุ่มน้อยสกุลจ้าวที่มีชื่อว่าอัน คนนี้เป็นแฟนคลับชนิดเกาะติดแน่นและทุ่มเทจนเรียกได้อีกอย่างว่า ‘ติ่ง’ ของเฟอร์ดีน เจ้าแมวแสนรักสายพันธุ์ขนปุยขาสั้นของหวังหยวน มาเป็นเวลาเกือบปีแล้ว
“เอ…ตารางงาน ๆ อยู่ไหนนะ” วงจรชีวิตของคนหาเลี้ยงชีพด้วยงานอิสระเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อตะวันตกดิน จ้าวอันหยิบสมุดตารางงานที่หน้าปกยังคงเป็นรูปเฟอร์ดีนออกมาเปิดเพื่อไล่ดูงานที่ต้องเคลียร์
“อ่าว…หมดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” และ…ใช่ เขาลืมว่าตัวเองจัดการงานทุกอย่างเสร็จไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวันก่อน เพราะวันนี้จะต้องไปหาเฟอร์ดีน แถมเสด็จเตี่ยที่เคารพยังไม่ยอมส่งงานอื่นมาเพิ่มอีก ดังนั้นเด็กหนุ่มผู้ว่างงานและกำลังจะขาดรายได้จึงต้องเข้าแอพลิเคชั่นสีเขียว ๆ ไปทวงคนจ่ายงานของเขา
อันอัน: เมื่อไหร่แกจะอัพเดตตารางงานให้ฉัน หลินเส้าเทียน?
ชื่อเราไม่ใช่เส้าหลิน: เสี่ยวอัน? เดือนนี้ให้ไปหมดแล้วไง
หมดแล้ว… แสดงว่าเขาต้องเปิดฟิลเตอร์กินแกลบแล้วใช่มั้ย งานไม่มาเงินก็ไม่มี…
อันอัน: หมดแล้วเหรอ?
ชื่อเราไม่ใช่เส้าหลิน: มีแค่นั้นแหละ เศรษฐกิจช่วงนี้ขาลง บริษัทถอนทุนคืนกันเยอะ ยังไม่มีกำหนดการแน่นอน อยากทำงานเสริมอย่างอื่นมั้ยล่ะ?
หมอนี่เป็นซีอีโอบริษัทอะไหล่คอมพิวเตอร์ชื่อดังแท้ ๆ ดันทำตัวอย่างกับเซลล์แมนขายประกัน ขยันขายงานจริง ๆ แต่ถ้าไม่ได้เพื่อนคนนี้ จ้าวอันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปหาคอนแทคต่าง ๆ ในสายงานมาจากไหน
อันอัน: งานอะไร?
ชื่อเราไม่ใช่เส้าหลิน: รายละเอียดยังไม่ได้คุย แต่คิดว่าน่าจะชอบแหละ ไว้ได้รายละเอียดมาจะบอก
อันอัน: อือ เอามาอย่างไวเลย ยังต้องผ่อนคอมอยู่
ชื่อเราไม่ใช่เส้าหลิน: รับทราบ
ลงเอยด้วยการนั่งว่างงานหลังหมดเงินไปกับอาหารแมวเกรดพรีเมี่ยมที่เอาไปยัดใส่มือหวังหยวนเมื่อตอนเช้า พอมีสติมาคิด ๆ ดูเขาก็ว่าตัวเองบ้าไม่น้อยเลยล่ะ แล้วนักแสดงหนุ่มที่เจอคนให้อาหารแมวกลางงานมินิแฟนมีตติ้งของเจ้าตัวเองเนี่ยจะคิดยังไงกันนะ?
หวังหยวน ก้มลงมองอาหารเเมวเกรดพรีเมี่ยมชื่อดังยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งแมวของเขาก็เคยไปเป็นพรีเซ็นเตอร์มาก่อนในมือของตนเอง ซึ่งเขามองมันมาแบบนี้ประมาณครึ่งชั่วโมงได้แล้ว หลังจากจบงานเปิดตัวสินค้าของแบรนด์ดังเจ้าหนึ่งและได้รับมันมาจากเด็กหนุ่มปริศนาที่เป็นแฟนคลับของเขา
อ่อ…พูดให้ถูกคือเป็นแฟนคลับของเจ้าแมวขาสั้นขนฟูที่บ้าน ไม่ใช่เขา
“คุณชายหวังนาย…เอ่อ โอเคไหม?”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่พี่จาง” จางซ่งไห่ หรือที่เหล่าสต๊าฟเรียกกันว่า ผู้จัดการจาง เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขาเอง ตั้งแต่เริ่มเข้าวงการมาใหม่ ๆ ก็มีคน ๆนี้ช่วยดูแลคิวงานให้ตลอด รู้จักกันมาก็น่าจะเกือบสิบปีแล้ว พี่ชายคนดีถามขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเกรงใจเล็กน้อย นี่คงไม่ได้คิดว่าเขาหดหู่อยู่ใช่มั้ย?
“อ่อ…เหรอ เห็นนั่งมองแต่อาหารแมว นึกว่าช็อก ตอนแรกฉันก็ตกใจคิดว่าเจอแอนตี้แฟนนายซะแล้ว กลายเป็นเจอแฟนคลับเฟอร์ดีนแทนซะงั้น” ชายหนุ่มดันแว่นที่สวมขึ้นแล้วหัวเราะเบา ๆ รู้สึกดีไม่น้อยที่ได้เห็นนักแสดงในความดูแลของตนเองหน้าเหวอออกอากาศ แต่ก็เพียงช่วงเวลาไม่กี่วินาที เพราะหวังหยวนเป็นถึงตัวท็อปในวงการ เรื่องแค่นี้ไม่ถึงกับทำให้เขาเก็บสีหน้าไม่ได้หรอก
“แล้วจะให้สืบมั้ย ว่าเป็นใคร?”
“ไม่ต้องหรอก อาจจะเจออีกก็ได้ ถ้าเป็นงานที่มีเฟอร์ดีนไปออกอากาศด้วย แปลกคนจริง ๆ เป็นแฟนคลับแมวเนี่ยนะ” ท้ายเสียงพึมพำเหมือนไม่แน่ใจ จางซ่งไห่จึงหัวเราะออกมาอีกระลอก ดูท่าเด็กเขาจะโดนทำให้เสียความมั่นใจในตัวเองไปไม่น้อยเลยนะเนี่ย
“อ้อ พูดถึงเฟอร์ดีน พี่เลี้ยงคนเก่าเพิ่งโดนไล่ออกไปเมื่อวานนะ มันขโมยเสื้อผ้านายไปประมูลขายมาหลายครั้งแล้ว เอาไว้ไม่ได้” คนฟังพยักหน้าเนิบเป็นเชิงรับรู้ คุณผู้จัดการจึงก้มลงมองมือถือต่อ
“ยังไงพี่ช่วยรับสมัครพี่เลี้ยงใหม่ให้ผมด้วย คราวนี้ขอคัดคนดี ๆ ไปเลย ผมไม่อยากเปลี่ยนพี่เลี้ยงมันอีกแล้ว เดือนหน้ามีคิวถ่ายละครซ้อนกันสองเรื่องไหนจะต้องซ้อมยิงปืนอีก” ใช่…นอกเหนือจากการเป็นนักแสดงแล้ว เขาก็ยังได้ชื่อว่าเป็นนักกีฬาอยู่ในสังกัดของสมาคมนักยิงปืนอีกด้วย คราวที่แล้วเวลาซ้อมไม่พอ อันดับเลยจบลงที่เขาได้แค่เหรียญเงินประเภทปืนสั้นยิงเร็วมา แต่คราวนี้หยวนอยากท้าทายตัวเองอีกครั้งด้วยการตั้งเป้าจะเอาเหรียญทองมาให้ได้ และปัญหาก็คือเจ้าเหมียวจอมเรื่องมากที่บ้าน
ถ้าไม่มีคนดูแลมันเขาเองก็ไม่สบายใจเหมือนกัน
“นายจะสัมภาษณ์เองมั้ยล่ะ?” พี่ชายจางถามพร้อมกับชูไอแพดที่เตรียมลงประกาศรับสมัครในมือ แต่ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าปฏิเสธ เรื่องแบบนี้เขาออกหน้าเองได้ที่ไหนกัน
“ให้รู้ว่าผมเป็นเจ้าของแมวดีไม่ดีจะเเย่งกันเข้ามาน่ะสิ พี่สัมภาษณ์เองเลยแล้วตอนจะทำสัญญาค่อยพามาเจอผม” ถ้านับรวมคนล่าสุดด้วย เฟอร์ดีนก็เปลี่ยนพี่เลี้ยงมาทั้งหมดห้าคนแล้ว สองคนแรกโดนคุณเธอข่วนจนได้แผลไปคนละหลายที ก่อนออกเลยต้องเสียค่ารักษาพยาบาลไปอีก คนที่สามตอนแรกก็ดูดีอยู่หรอก แต่ไป ๆ มา ๆ เจ้าตัวดันแพ้ขนแมว แล้วก็ไม่ยอมบอกตั้งแต่แรกเพราะกลัวเสียรายได้ จนเขาต้องบังคับออกเพราะยังไม่อยากติดคุกข้อหาฆ่าคนตายด้วยขนแมว ส่วนคนที่สี่กับห้านี่มาทรงเดียวกันเลย ตอนแรกไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร พอรู้ว่าเป็นนักแสดงมีชื่อเสียงก็หาเรื่องขโมยของในบ้านไปประมูลขาย เฟอร์ดีนจับได้ก็ทำร้ายมัน ดีว่าเขาติดกล้องไว้ที่ปลอกคอเลยมีหลักฐานทุกอย่าง
“โอ๊ะ เรื่องงานวันนี้มีในโซเชียลด้วยแฮะ แต่ไม่ค่อยมีข่าวเท่าไหร่”
“แหงล่ะ หมอนั่นเดินลงเวทีไปอย่างไว ใครก็ไม่น่าถ่ายรูปไว้ได้หรอก” เขาก็อ่านอยู่เหมือนกัน ดีแล้วที่ไม่เป็นข่าวใหญ่ ถ้าผู้ชายคนนั้นเดือดร้อนจากสื่อขึ้นมามันจะยุ่งยากไปอีก
ก็แค่คนแปลก ๆ ที่ชอบแมวมากกว่าเขา…เท่านั้นเอง
ไม่ได้แอบโมโหเลยสักนิด จริง ๆ นะ…
“โย่ว!” จ้าวอันกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อเปิดประตูห้องมาก็พบกับเพื่อนซี้ตั้งแต่ประถม ที่ไม่รู้ว่ารีบมาทำอะไรตั้งแต่ไก่โห่ หลินเส้าเทียนชูถุงโจ๊กและปาท่องโก๋ที่ซื้อติดมือมาฝากและกันโดนด่าให้ดูอีกฝ่ายถึงยอมหลีกทางให้เข้าห้องแต่โดยดี
“จะรีบมาทำไม?”
“โหย เอาข่าวดีมาบอกไม่อยากฟังรึไง”
“อะไร? บอกในแชทก็ได้มั้ย” เจ้าของบ้านยังไม่ตื่นดีนัก เพราะติดนิสัยนอนดึกตื่นสาย แถมวันนี้เขาเองก็ไม่ได้มีธุระที่ไหนเลยถือโอกาสพักผ่อนไปในตัวก่อนจะมีงานใหม่เข้ามา
ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว หลังจากงานมินิแฟนมีตติ้งของหวังหยวน
“ฉันก็ต้องมาดูแกมั่งดิ หลังงานวันนั้นก็ไม่ออกไปไหนอีกเลย พวกเจ้เขาเป็นห่วง”
“แค่ไม่มีจะแดกมั้ย เลยไม่ออกไป ก็รู้ ๆ กันอยู่ เงินเดือนฉันไม่ได้หาได้เท่าพวกแกสักหน่อย”
“เออ ก็เลยซื้อมาฝากนี่ไง”
“ดีมากเตี่ย” ตั้งแต่สมัยมัธยมมาแล้วที่พวกเขาล้อกันเล่นเช่นนี้ มีเส้าเทียนเป็นพ่อเก๊ มีมู่ไป๋เป็นแม่ปลอม ทั้งคู่โอ๋เขาหนักกว่าพ่อแม่แท้ ๆ เสียอีก แต่ก็เพราะแบบนั้นจ้าวอันจึงผ่านช่วงเวลาที่ยากที่สุดในชีวิตมาได้โดยไม่พังทลายไปเสียก่อน
“แล้ว…มีอะไร” หลังเทโจ๊กหอมฉุยใส่ชาม ทั้งคู่ก็นั่งลงโซ้ยไม่พูดไม่จาอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งเส้าเทียนเอื้อมมือมาหยิบปาท่องโก๋ไปกัดคำแรกนั่นแหละ พ่อหนุ่มแซ่จ้าวจึงเงยหน้าจากชามโจ๊กขึ้นมาถาม
“ได้รายละเอียดงานมาแล้ว”
“ว่า?”
“สนใจกันหน่อยได้มั้ย…ถึงจะแค่แกล้งแต่ช่วยสนใจฉันมากกว่าโจ๊กในชามหน่อยเถอะจ้าวอัน”
“นายไม่น่ากินเท่าโจ๊กไข่ใส่ต้นหอมของร้านป้าจวงนี่นา” นั่น…มันดันเดาถูกอีกว่าเป็นโจ๊กร้านประจำที่เขาลงทุนตื่นตีห้าไปต่อคิวซื้อมาฉลองให้ สมแล้วที่เป็นเจ้าเด็กกินจุ
“บอกเลยว่าไม่ได้เดา ฉันจำรสมือป้าจวงได้” แน่ะ รู้ทันความคิดกันเสียด้วย หนุ่มแซ่หลินหลุดหัวเราะกับเพื่อนสมัยเด็กที่ทำตัวสมองไม่โตตามอายุตรงหน้าเพราะมันอมข้าวจนแก้มป่องอย่างกับกลัวใครไปแย่งกิน
“เออ ๆ ยอมนาย ให้ตายเถอะมู่ไป๋เลี้ยงยังไง โตมาปากร้ายได้ขนาดนี้”
“นายก็เลี้ยงฉันมานะ ท่านเตี่ย”
“หุบปากแล้วกินข้าวไปเลย” จ้าวอันโคลงหัวพลางกินต่อโดยไม่พูดอะไรอีก หลังซัดกันเต็มคราบและย้ายมานั่งที่โซฟาแล้วนั่นแหละ ผู้ปกครองแต่งตั้งเองถึงหยิบไอแพดขึ้นมากางให้ดู
“โห…ค่าจ้างห้าหลัก เขาจ้างไปเดินยาเหรอ?” ฝ่ามือพิฆาตฟาดฉับกลางกบาลพอดิบพอดี เล่นเอาเจ็บจนน้ำตาเล็ด
“ปากหนอปาก งานผิดกฎหมายแบบนั้นฉันจะกล้ารับมาให้แกได้ไงห๊ะ! คิดสิคิด!”
“อูย…ก็ล้อเล่นมั้ยเล่า”
“กวนตีนอีกทีโดนแน่”
“ค้าบ เตี่ยค้าบ” คนโดนคาดโทษเบ้ปากขณะเอามือลูบหัวที่โดนทุบ แต่ก็ยอมนั่งฟังดี ๆ
“มันก็ไม่ใช่งานยากเย็นอะไร คิดว่าแกน่าจะชอบด้วยซ้ำ เพียงแต่ต้องเซ็นต์สัญญารักษาความลับให้ยุ่งยากเล่นนิดหน่อย“ รายละเอียดที่ได้มาทำให้ฟรีแลนซ์หนุ่มขมวดคิ้ว ค่าจ้างห้าหลักแต่มีสัญญาเก็บความลับ มันก็ดูเข้าทีอยู่หรอก แต่บอกว่างานไม่ยากเนี่ย
อันนี้ไม่เชื่อได้มั้ย? ถ้าไม่ยากจริงทำไมจ้างสูงขนาดนี้
“ตกลงมันคืองานอะไร”
“เลี้ยงแมว” …
“ห๊ะ!?” ยังไงนะ… เขาไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม
“นายฟังไม่ผิดหรอก เป็นงานเลี้ยงแมวจริง ๆ แถมแมวที่นายต้องไปเลี้ยงน่ะคือเจ้านี่” ซีอีโอหนุ่มเรียกภาพที่เขาคุ้นตาดี เพราะเห็นมาหมดแล้วทุกรูปขึ้นมาโชว์
“น…!” ไม่ล้อเล่นใช่มั้ย? พระเจ้า! เขาไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย!?
ใครก็ได้ฝากตบหน้าให้ที
ก็แมวที่อยู่ในรูปงานรับจ้างเลี้ยงนั่นมัน…
เฟอร์ดีน!! ไม่ใช่รึไงกัน?
To be continued.
*เสี่ยว (小) แปลว่าน้อย เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกคนอายุน้อยกว่า
**0258 ออกเสียงคล้ายกับ คุณรักฉันไหม = 你爱我吗 (หนี่ อั้ย อั่ว มะ = หลิง เอ้อร์ อู่ ปา)