Back to School!

ตอนที่ 1
คลิก คลิก… ในยามดึกสงัดเข็มนาฬิกาชี้เลขสิบสองบอกเวลาเที่ยงคืนเศษ เสียงกดคีย์บอร์ดดังเบาๆ สลับเสียงคลิกเมาส์ภายในความเงียบ เจ้าของใบหน้าที่สวมกรอบแว่นถอนลมหายใจเบาๆ สายตาทอดมองจอโน้ตบุ๊ก ริมฝีปากบางขบเม้มแน่นสีหน้าที่เคยรื่นเริงสลดลง บุริศร์มุ่ยริมฝีปากทำหน้าจ๋อยเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้ จ้องมองสถานะความสัมพันธ์ของอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนมัธยมที่ถูกอัปเดตเป็น ‘In relationship’ บนเฟซบุ๊ก นิ้วเรียวกดคลิกเมาส์ไปบนชื่อโพรไฟล์ Chatpisit Sakulwech ใต้สถานะแสดงความสัมพันธ์ของเขามีเพื่อนในคณะเดียวกันและเพื่อนเก่าต่างเข้ามาร่วมแสดงความยินดีไม่หยุด รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้สักวันนึงก็ต้องมาถึงแต่พอได้เห็นแบบนี้จะจะ กับตาแล้วก็รู้สึกวูบโหวงในใจยังไงไม่รู้ คนตัวเล็กเลื่อนเมาส์ลงดูรูปถ่ายเก่าๆ ในบัญชีเฟซบุ๊กของเขาพลางขบคิดถึงเรื่องในอดีต มันเหมือนกับเพิ่งเมื่อวานเองที่ยังได้เห็นชัชในโรงเรียน ถึงจะอยู่มหาลัยเดียวกันแต่พอแยกคณะ ต่างคนก็ต่างไปมีสังคมของตัวเอง ทุกอย่างก็ค่อยๆ ห่างหายออกไปตามกาลเวลา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้สนิทกันมากอยู่แล้ว บุริศร์ละกายออกจากโน้ตบุ๊กหยัดย้ายตัวเองไปนั่งหน้าจ๋อยอยู่บนเตียง อุตส่าห์แอบชอบเขามาตั้งหลายปีแต่กลับไม่เคยมีตัวตนในสายตาเขาเลย แสงกะพริบวาบบนจอมือถือดึงสายตาคนตัวเล็กให้หลุบมองรายชื่อเรียกเข้าจากเพื่อนสนิท ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอิทธิกรคงจะรีบมารายงานอย่างไว มือบางเอื้อมไปหยิบมือถือมากดรับพร้อมเปิดลำโพงแล้วโยนมันไว้ข้างตัวก่อนจะล้มตัวลงนอนบนหมอนลายโดราเอม่อน [อีบุ้ง มึงเห็นในเฟซยัง ชัชอะ] “เออ กูเห็นแล้ว” เจ้าของเรือนผมสีเข้มตอบกลับไปเสียงอ่อย สายตาเหม่อมองเพดานด้วยความรู้สึกที่แสนจะยากอธิบาย [กูถึงว่าไม่เห็นแม่งคุยกับใคร ที่ไหนได้ซุ่มแดกผู้จัดการทีม] “อีเอ้…” [เป็นแระ? อารมณ์ไม่ดี นี่มึงยังไม่เลิกชอบมันอีกอ๋อ?] “มึงจะโทรมาเมาท์หรือซ้ำเติมกู?” บุริศร์ขมวดคิ้วมุ่นพลางหันมองโทรศัพท์ราวกับอีกฝ่ายจะได้เห็นสีหน้านี้ เขาเองก็รู้แหละว่าต่อให้ไม่ใช่ตอนนี้ชัชก็คงจะมีใครในสักวันอยู่ดี แต่มันก็แค่ความรู้สึกวูบโหวงปนใจหายนิดๆ เมื่อคนที่ตัวเองแอบชอบมาเนิ่นนานไม่ได้เป็นคนของสาธารณะอีกต่อไปแล้ว [ก็โทรมาแจ้งเพื่อนไง เผื่อเพื่อนไม่ทราบ~ โอ๊ยยยย ชอบไปก็ได้เท่านั้นอะมึงอะ ก็ได้แค่ชอบเหมือนเดิมปะวะ] “มึงวางไปเลยแปะ” [ใจเย็นค่า จริงๆ กูจะโทรมาขอถ่ายสรุปวิชา EL อะ มึงจดไว้เปล่า] “เปล่าอะ กูรอของอีโด้” [เออ ถ้าได้แล้วส่งให้กูหน่อย] “เออๆ เดี๋ยวกูส่งเข้ากลุ่มให้” [เค นี่มึงไหวปะเนี่ย ทำไมเสียงซึมๆ วะ] “จะไม่ไหวอะไรวะ มันนานละปะ” ถึงจะพูดไปอย่างนั้นแต่ใบหน้ากลับงอง้ำจนปากแทบจะทิ่มจมูก บุริศร์ไม่ปฏิเสธว่าเขาซึมแต่ถามว่าเสียใจไหม มันรู้สึกเหมือนอกของเขาว่างเปล่าเพราะหัวใจหายไปมากกว่า “แต่กูก็โหวงๆ นิดนึงอะ” [ก็คือเสียใจอะแหละ] “อือ ก็นิดนึง” [แป๊บนะมึง อิโด้โทรมา] “เค…” คนตัวเล็กส่งเสียงงึมงำตอบในลำคอก่อนจะพลิกกายนอนตะแคง เหม่อสายตามองไปยังบานประตูแล้วก็ได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตอนนี้บุริศร์ไม่มีอารมณ์อยากจะคุยกับใครเลย เขาอยากจ๋อยอยู่เงียบๆ ในมุมสำหรับคนขี้แพ้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังรู้สึกมากขนาดนี้ทั้งที่คิดว่าไม่ได้ชอบเขามากเท่าแต่ก่อนแท้ๆ เฮ้อ… ตอนนั้นมันดีจังนะ ถึงจะไม่ได้สนิทกันแต่อย่างน้อยก็เห็นเขาทุกวัน เป็นความสดใสเล็กๆ ในการไปโรงเรียน ถ้าเป็นอย่างนั้นไปได้ตลอดก็คงดี ขณะที่ในหัวกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย นัยน์ตาเรียวก็เหลือบไปสะดุดกับสิ่งของบางอย่าง มือบางเอื้อมไปหยิบสันสมุดปกแข็งสีดำเล่มใหญ่ที่ยื่นโผล่ออกมาจากชั้นหนังสือ หน้าปกของมันถูกตกแต่งด้วยปากกาเมจิกหลากสี พอเห็นแล้วก็ชวนให้ฉุกคิดถึงตอนที่เขียนมันขึ้น คนตัวเล็กดึงสมุดเฟรนด์ชิปตอนม.6 มาเปิดออก หน้าแรกของมันถูกตกแต่งด้วยรูปถ่ายของห้อง ม. 6/11 ทั้งสีและปากกาเมจิกวาดตกแต่งลวดลายจนลายตา มือบางพลิกหน้ากระดาษอ่านข้อความอวยพรที่เพื่อนร่วมห้องสุดรักเขียนให้เขาในวันสุดท้ายของการศึกษา มันดูวุ่นวายๆ พอกับความทรงจำในตอนนั้น ความเป็นห้อง 11 ที่รวมเอานักเรียนเกรดตก นักเรียนโควตาและนักกีฬามารวมตัวกัน เขาส่งเสียงหัวเราะกับตัวเองขณะเปิดสมุดมาถึงหน้ากลางที่ติดกับกระดาษอีกแผ่น พอแซะมันออกมากลิ่นหอมของลูกอมสตรอว์เบอร์รีก็ลอยฟุ้ง เปลือกลูกอมฮาร์ทบีทเป็นสิบถูกแปะเต็มหน้ากระดาษล้อมภาพผู้ชายที่โด่งดังที่สุดในมัธยมตั้งแต่รุ่น 64 จนถึงปัจจุปันและยังไม่มีใครล้มได้ ‘ชัช’ ชอบนะ… ข้อความสารภาพรักตัวเล็กๆ ถูกเขียนไว้ใต้ชื่อ คำพูดที่คงจะไม่มีวันได้พูดออกไป… อยู่ดีๆ ก็เหมือนมีมือของใครกำลังบีบหัวใจไว้จนแน่น คลื่นความรู้สึกตีตื้นขึ้นมาในอก มันเป็นเหมือนเครื่องหมายเตือนความจำ ทั้งความสุขในตอนนั้น ความสนุกสนานและความเศร้า หลากหลายอารมณ์ที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆ กันกับวันคืนอันแสนดี ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นจะสารภาพรักกับชัชไหมนะ… ได้แต่แอบนึกเล่นๆ ในใจแล้วก็เศร้าเสียดายอยู่คนเดียวเพราะรู้ว่าต่อให้เป็นตอนนี้หรือตอนไหนมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ หรือถึงย้อนไปบุริศร์ก็คงไม่กล้าจะพูดอยู่ดี [บุ้ง… อีบุ้ง มึงฟังกูอยู่ปะเนี่ย] ขณะที่มัวแต่นั่งรำลึกความทรงจำจนไม่รู้ตัว่าสายของเพื่อนซี้ตัดกลับมาตอนไหน รู้ตัวอีกทีหยดน้ำตาก็ร่วงเผาะลงบนหลังมือ บุริศร์พยายามจะไม่ร้องไห้กลั้นเสียงสะอึกไว้ในลำคอแต่สุดท้ายก็ทนไม่ได้เผลอส่งเสียงออกมาจนคนในสายได้ยิน “อึก….” [มึงเป็นไร ร้องไห้อ่อ?] “เปล่า…” มือบางยกขึ้นเช็ดหยดน้ำตาเม็ดเล็กๆ บุริศร์ไม่รู้ว่ามันเป็นความเสียใจหรือเสียดายเพียงแค่หวนกลับไปรู้สึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่เคยมี [อีบุ้ง? มึงเป็นไรเนี่ย] “กู…” คำพูดที่อยากจะเอ่ยถูกแทนด้วยเสียงสะอื้นก่อนหยดน้ำตาจะไหลผ่านผิวแก้ม ในอกเขาจุกไปหมดจนอธิบายอะไรไม่ถูก ไม่เคยคิดว่าจะเลิกชอบชัชเลย ทั้งที่คิดว่าถ้าห่างกันไปก็คงจะเลิกรู้สึกไปเอง แต่ทำไมตอนนี้ความรู้สึกมันถึงชัดเจนจัง [โอ๊ยยย~ อีดอกกก] “ฮึก… กูไม่ได้เสียใจนะ กูแค่แบบ…. อึก…” คนขี้แยพูดไปก็สะอึกสะอื้นไปเป็นนางโศก ขณะที่สายตาก็จ้องมองใบหน้าคนในรูปถ่าย ไม่ว่าตอนไหนชัชก็ยังโดดเด่นด้วยส่วนสูงและใบหน้าที่ดูหล่อเกินใครเสมอ ไม่นับรวมรอยยิ้มมุมปากเล็กๆ ที่พอได้เห็นหัวใจก็ยิ่งสะเทือน ชัชที่ใครๆ ก็หลงรัก คนดังของรุ่น 64 ตำนานที่ไม่มีใครลืม “กูดูเฟรนด์ชิปแล้วกูก็แบบ… กูแค่โหวงในใจอะ” [แล้วมึงจะไปดูทำไม? มึงปิดเลยนะ มึงฟังกู…] เสียงจากปลายสายยังดังแว้ดไม่หยุดแต่ไม่อาจดึงคนที่จมอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดได้ บุริศร์เอาแต่คิดว่าถ้าตอนนั้นมีโอกาสเขาจะสารภาพรักกับชัชหรือเปล่าและมันจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า ไม่ต้องสมหวังหรอก แค่ได้บอกก็พออย่างน้อยจะได้ไม่รู้สึกเหมือนตอนนี้ ทว่าสุดท้ายก็ทำได้เพียงมองเรื่องราวผ่านตัวอักษรที่บันทึกความทรงจำไว้เท่านั้น… คนตัวเล็กส่งเสียงสูดน้ำมูกฟึดฟัดหยดน้ำตาไหลดิ่งซึมปลอกหมอน ทั้งที่อุตส่าห์ชอบเขามาตั้งนานแท้ๆ ถ้าไม่ได้หวนมาใกล้กันก็ช่วยทำให้ความห่างเหินเจือจางความรู้สึกไปสิ “มึงว่า… อึก… ถ้ากูไปบอกชอบมัน มันจะมองกูมั่งไหมวะ” [ไม่] รู้สึกเหมือนถูกกำปั้นหนักๆ ของเพื่อนเอ้ทุบลงกลางหลัง จุกอกไปหมดแต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นความจริง [มันเคยสนใจมึงอ่อวะ? แต่มึงก็อาจจะไม่รู้สึกแบบนี้ไง มึงให้กูไปหาไหม?] “ไม่หรอก กูแค่เสียใจนิดนึง…” ถึงจะพูดไปอย่างนั้นแต่อาการบุริศร์ตอนนี้ไม่ต่างจากคนอกหักเลย ใบหน้าหวานมุดลงกับหมอนใบใหญ่เพื่อให้มันช่วยเช็ดน้ำตาออกไป แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่เลย [แน่ใจนะ?] “อื้อ” [งั้นแค่นี้นะ กูไปพรินต์งานก่อน มีไรก็โทรมา] “อือ แค่นี้แหละ” พอกล่าวจบปลายสายก็กดตัดไปพร้อมหน้าจอมือถือที่ดับลง บุริศร์พลิกกายนอนตะแคงเปิดหน้ากระดาษทบทวนความทรงจำในช่วงเวลาที่ทั้งปั่นประสาทและมีความสุขไปพร้อมๆ กัน มันเป็นช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตเพราะแทบจะไม่ต้องมีเรื่องหนักใจให้คิดเลย ดีจังเลยนะตอนนั้น… เป็น 6 ปีที่ผ่านไปไวจริงๆ ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ เปลือกตาสีมุกหนักลงเรื่อยๆ บุริศร์ปิดหน้าสมุดปล่อยให้ดวงตาหลับลงช้าๆ ความเหนื่อยล้าที่สะสมจากการเรียนมาทั้งวันไหนจะเรื่องเหนื่อยใจดึงเขาให้ค่อยๆ จมลงสู่ความมืดมิดในดวงตา ในหัวคิดเพียงว่าอยากให้เรื่องนี้เป็นแค่ฝันจัง… กริ๊ง! กริ๊ง! นาฬิกาปลุกแผดเสียงร้องดังลั่นตามเวลาปลุกร่างที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้านวมให้รู้สึกตัว แขนเรียวค่อยๆ มุดออกมาจากใต้ผ้าห่มเอื้อมไปควานหานาฬิกาปลุกแล้วตบปิดมัน ร่างน้อยขยับดิ้นดุ๊กดิ๊กก่อนจะยันกายขึ้นนั่งบนเตียงด้วยท่าทีสะลึมสะลือ ควานมือหาโทรศัพท์รอบตัวก่อนที่ความผิดปกติบางอย่างจะทำให้บุริศร์ต้องรู้สึกตัว ผ้าห่มลายช้างดัมโบ้สีฟ้า… ดวงตาเรียวรีกวาดมองรอบห้องนอนที่อยู่ในสภาพไม่คุ้นเคย คิ้วเรียวขมวดย่นด้วยความแปลกใจ บุริศร์หันมองนาฬิกาปลุกรูปหมูสีชมพูก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนไม่ได้ใช้นาฬิกาปลุกมานานแล้ว ทุกอย่างรอบตัวเป็นความคุ้นตาที่ไม่คุ้นเคย “เฮ้ย!” เขาอุทานออกมาเสียงดังลั่น รู้สึกมึนงงไปหมด บุริศร์จำได้ว่าเมื่อคืนนอนคุยโทรศัพท์กับเพื่อนซี้ที่หอแล้วก็หลับไปแล้วทำไมเขามาตื่นอยู่ที่บ้าน?? คนตัวเล็กรีบลุกขึ้นสะบัดผ้าห่มเพื่อหาไอโฟนก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าที่ชาร์จอยู่บนชั้นวางหนังสือ เขารีบคว้ามันขึ้นมากดดูอย่างรีบร้อน วันที่บนจอบอกเวลา ณ ปัจจุบัน 07:01 วันอังคาร 8 มกราคม 2555 ดวงตาเรียวรีเบิกกว้างยิ่งกว่าไข่ห่าน ยิ่งเห็นหนังสือเรียนชั้นมัธยมที่วางทับกันเป็นกองพะเนินหัวใจดวงเล็กยิ่งเต้นแรง บุริศร์พรวดพราดจากเตียงวิ่งไปหน้าตู้เสื้อผ้ากระชากประตูส่องตัวเองในกระจก ภาพของใบหน้าอ่อนเยาว์กับผมสั้นที่สะท้อนในกระจกและรูปถ่ายจากตู้สติกเกอร์ที่ติดอยู่รอบๆ ทำเจ้าของห้องร้องเสียงหลง เด็กหนุ่มรีบวิ่งออกจากห้องนอน หันมองซ้ายขวาก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองอยู่ที่บ้าน สองเท้าวิ่งสับลงบันไดปากตะโกนเรียกแม่ด้วยความตื่นตกใจ “แม่!!” “อะไร! เสียงดังทำไมเนี่ย!” ร่างน้อยยืนอ้ำอึ้งประจันหน้ากับผู้เป็นแม่ที่ถือตะกร้าผ้าทำหน้านิ่วมองอยู่ สายตากวาดมองบรรยากาศรอบบ้านที่ดูไม่ต่างจากเดิมมากนักแต่ก็ไม่ใช่อย่างที่เคยอยู่ เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งเรียกสายตาเขาให้ต้องหันไปมองเจ้าหมาอ้วนเตี้ยที่กำลังวิ่งเข้ามาจากหน้าบ้าน “ลัคกี้!” บุริศร์แทบทรุดลงกับพื้นเมื่อได้เห็นสุนัขตัวโปรด มันวิ่งเข้ามากระโดดงับแข้งขาจนเขาต้องย่อตัวลงรับกอด หัวใจดวงเล็กเต้นตึกตักด้วยความสับสนระคนตื่นกลัว นี่มันอะไรกัน ลัคกี้มันตายไปแล้วนี่! “แม่วันนี้วันไรอะ?” “ก็วันอังคารไง” ผู้เป็นแม่ทำหน้าฉงนกับท่าทีประหลาดของลูกชาย สุดใจนำตะกร้าผ้าไปวางไว้หน้าห้องซักรีดก่อนจะเดินไปคว้ารีโมตหน้าโซฟามาเปิดข่าวภาคเช้า เสียงพิธีกรชายในข่าวที่แม่ดูประจำกำลังรายงานข่าวเรื่องผลการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ บุริศร์รีบวิ่งไปหน้าจอจดจ่อฟังรายงานข่าว นี่มันไม่ถูกต้อง ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ หรือว่ากำลังฝันอยู่กันนะ เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขา นี่มันวันที่เท่าไหร่กัน ‘เป็นอันสรุปว่าเราได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ประจำปี 2555 เรียบร้อยแล้วนะครับ การเลือกตั้งเมื่อวานผ่านไปอย่างสมบูรณ์แบบ…’ “ห้ะ?!” ใบหน้าหวานยิ่งขมวดมุ่นไปกันใหญ่ เด็กหนุ่มก้มลงดึงขอบกางเกงนอนเพื่อดูไอ้จ้อนของเขาว่าเติบโตหรือเปล่าก่อนจะถูกฝ่ามืออรหันต์ของแม่ฟาดหลังอั้กใหญ่ “โอ๊ย!” “ไอ้บุ้ง! ทำอะไรเนี่ย!” กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรแปลกๆ ก็ถูกทุบจนหลังโก่ง ใบหน้าหวานบิดเบี้ยว ความจุกแล่นยืนยันทุกสัมผัส คนตัวเล็กส่ายหัวไปมาราวกับไม่เชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้าก่อนจะวิ่งกลับขึ้นบันไดไป ประตูห้องนอนถูกปิดดังปัง! บุริศร์หอบหายใจรัวมองดูสภาพห้องที่ถูกตกแต่งอย่างสดใส ทั้งที่นอนลายการ์ตูน รูปถ่ายสติกเกอร์บนหัวเตียง กองนิตยสารรกๆ นี่มันห้องนอนเขาตอนมัธยมนี่ ชุดพละที่แขวนอยู่หน้าตู้นั่นก็ใช่ หนังสือเรียนชั้น ม.5 กระเป๋านักเรียนใบเก่า ไหนจะหมาแสนรักที่ตายไปตั้งแต่ปีหนึ่ง นี่มันไม่ใช่ความจริงแน่ๆ นี่คือความฝัน ใจเย็นก่อนบุ้ง กำลังฝันอยู่แน่ๆ บุริศร์พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นไว้แล้ววิ่งกลับขึ้นไปบนที่นอนอีกครั้ง ถลกผ้าห่มผืนหนาคลุมโปงสะกดตัวเองในความมืด เอาล่ะ หลับซะ แล้วจะได้ตื่นสักที เพราะเมื่อคืนกินเยอะเกินไปต่างหากก็เลยฝันอะไรเพ้อเจ้อ ดวงตาเรียวรีหลับลง ฝ่ามือกำผ้านวมลายการ์ตูนแน่น ลมหายใจผ่อนเข้าออกพยายามให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลาย นี่มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เมื่อคืนยังคุยโทรศัพท์กับอีเอ้อยู่เลย ทำไมถึงได้คิดมากจนเก็บมาฝันแบบนี้นะ แกร๊ก… เสียงบิดลูกบิดประตูดังเบาๆ ร่างเล็กๆ ยังคงนอนหลับตาอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาหวังให้ตัวเองหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาอีกครั้งในโลกความเป็นจริง บุริศร์นอนท่องลมหายใจเข้า ลมหายใจออกอยู่ในใจ ก่อนที่น้ำเสียงเกรี้ยวกราดจะทำให้เขาสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง! “ไอ้บุ้ง!! ลุกไปโรงเรียนเดี๋ยวนี้!!” กว่าจะอาบน้ำกินข้าวเสร็จอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ตอนนี้นาฬิกาก็บอกเวลาเจ็ดโมงกว่าแล้ว หลังจากทุบตัวเองจนรู้ว่าไม่ได้ฝันไป สุดท้ายบุริศร์ก็ต้องหอบร่างแต่งตัวมาโรงเรียน คนตัวเล็กกระโดดขึ้นรถสองแถวแดงที่อัดแน่นด้วยนักเรียนเที่ยวสายในเช้าวันอังคาร ดวงตาเรียวรีจ้องมองทิวทัศน์อันแสนคุ้นเคยรอบตัวขณะรถสองแถววิ่งผ่าน บางสถานที่ยังคงสภาพเดิมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และบางร้านก็ยังไม่ถูกปรับปรุง ในใจยังคงสับสนและหวาดผวาแต่จะนอนอยู่บ้านเฉยๆ ก็ไม่ได้ โทรศัพท์ไอโฟนสุดหรูกลายเป็นเพียงมือถือเก่าๆ รายชื่อเพื่อนในโทรศัพท์ก็เป็นเบอร์โทรเก่าทั้งหมด บางเบอร์เขาเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ขณะที่รถขับเคลื่อนไปตามทางคนตัวเล็กก็พยายามเรียบเรียงเรื่องราวในหัว เมื่อคืนเขาจำได้ว่านอนร้องไห้จนหลับไปเพราะเรื่องชัช ตอนนั้นรู้สึกเหมือนจะคิดอะไรเยอะแยะไปหมดแล้วก็เผลอหลับไป พอตื่นมาอีกทีก็มาอยู่ที่บ้าน พร้อมบรรยากาศเดิมๆ นิ้วเรียวกดเลื่อนหารายชื่อในมือถือก่อนจะตัดสินใจกดต่อสายหาเพื่อนรักที่โทรหาเมื่อคืนทันทีด้วยหัวใจลุ้นระทึก พอเสียงรอสายดังตู๊ด… ตู๊ด… อยู่ไม่นานปลายสายก็กดรับ [ฮาโหล] เสียงแบบนี้…. “อีเอ้ มึงอยู่ไหนอะ…” โพล่งถามออกไปด้วยใจลุ้น ฝ่ามือก็กำกางเกงพละแน่น [อยู่โรงเรียนดิ มึงอยู่ไหนอะ จะสายแล้วนะเว้ย] “ก… กูอยู่บนรถอะ” และแล้วที่พึ่งทางใจอย่างสุดท้ายก็พังทลายลงเมื่อเพื่อนรักที่รับสายก็เป็นเพื่อนรักในวัยมัธยมเช่นเดียวกัน ทุกอย่างรอบตัวเขาย้อนกลับไปอยู่ในช่วงวัยมัธยมทั้งหมดทั้งเพื่อน คนรอบตัว หรือแม้แต่หมาที่ตายไปแล้ว รวมถึงหนังสือเรียนที่หนักอยู่ในกระเป๋านี้ด้วย [มึงจะโดดแถวเหรอ] “กูไปไม่ทันอะ เดี๋ยวกูโทรหานะ” [เออๆ รีบมา] กล่าวเพียงแค่นั้นก็กดวางสายไปด้วยความรู้สึกที่สับสนยิ่งกว่าเดิม ดวงตาเรียวรีจ้องมองเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนปักอักษรเดียวกันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทุกอย่างมันคุ้นไปหมด บุริศร์ใช้ชีวิตกับการเรียนมัธยมมา 6 ปี เขาไม่มีทางลืม และคนข้างหน้าก็คืออาร์มเพื่อนต่างห้องที่ไม่ได้เจอมาตั้งแต่ย้ายไปเข้ามหาลัย อย่าบอกนะว่าตัวเขากำลังกลับมาเป็นเด็กมัธยมอีกครั้ง นี่มันเรื่องอะไรกัน! เสียงร้องเพลงมาร์ชโรงเรียนดังสนั่นก่อนที่จะหยุดลง ร่างเล็กๆ ที่หลบอยู่ข้างอาคารติดกับประตูหลังหอบหายใจจนไหล่กระเพื่อม รู้สึกหวิวๆ ขึ้นมาในใจนิดหน่อยที่ต้องย้อนกลับมาโรงเรียนอีกครั้งแม้จะเพิ่งจบไปแค่ไม่กี่ปี ตอนนี้แถวกิจกรรมตอนเช้าดำเนินไปกว่าครึ่งแล้ว คนตัวเล็กกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่ พยายามมองหาแถวห้องตัวเอง สอดส่องสายตามองหาครูประจำชั้นที่เดินเลี่ยงไปยืนแถวด้านหน้าเพื่อจดชื่อนักเรียนมาสาย พออาจารย์ปล่อยเด็กมาสายให้วิ่งเข้าไปรวมแถวได้ บุริศร์ก็รีบเนียนวิ่งก้มหลบไปตามแถวเพื่อไปยืนต่อท้ายทันที เขาหอบหายใจแฮกๆ พอเหยียดหลังตรงหันมองรอบๆ ก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจากสายตาที่จับจ้องมา สังหรณ์ใจไม่ดีแปลกๆ และพอก้มมองตัวเองเท่านั้นแหละ ก็ถึงได้รู้ที่มาของสายตากรุ้มกริ่มกับเสียงหัวเราะคิกคัก “บุ้ง มึงหลงวันอ่อ” นักเรียนมัธยมปลายตั้งแต่หัวยันท้ายแถวใส่ชุดนักเรียนกันหมด มีแต่เขาคนเดียวที่ใส่ชุดพละยืนเด่นเป็นสง่า ความมั่นใจที่มีน้อยอยู่แล้วยิ่งน้อยลงไปอีก มาเรียนวันแรก(?)ก็ทำเด๋อซะแล้ว นึกโมโหตัวเองตอนนั้นว่าเอาชุดพละมาแขวนหน้าตู้ทำเบื๊อกอะไรถ้าไม่ได้ใส่วันนี้ “มึงมาเรียนพละอ่อ” เสียงทักทายกับสายตาขบขันจากเพื่อนห้องข้างๆ ทำบุริศร์อายจนอยากเอาหน้ามุดดินหนี ในความสับสนมีความอับอาย ไม่รู้ว่าควรทำอะไรก่อน ระหว่างตกใจกับเรื่องการย้อนวัยหรือเรื่องที่ตัวเองแต่งชุดผิดมาโรงเรียน นี่มันเป็นความอับอายที่ยิ่งใหญ่พอๆ การใส่ชุดลูกเสือมาผิดวันเลย “อีบุ้ง! มึงไปยืนไรแถวนั้น!” “อีเอ้!” และแล้วเสียงสวรรค์ก็ดังขึ้นเรียกสติเด็กชายที่กำลังตกอยู่ในภวังค์สับสน บุริศร์รู้สึกเหมือนเจอบ่อน้ำโอเอซิสเมื่อเห็นเพื่อนสนิทยืนอยู่ในแถวข้างๆ กว่าจะรู้ตัวว่าอยู่ผิดแถวก็ถูกอีกฝ่ายเอื้อมมือมาฉกคอเสื้อดึงกลับไปยืนในแถวเดียวกัน “มึงใส่ชุดพละมาทำไมอะ?” “อ๋อ… เสื้อนักเรียนกูไม่แห้งอะ” ปากหาข้ออ้างไปสายตาก็มองสำรวจเพื่อนสนิทไปด้วย เอ้ยังสวมชุดนักเรียน ผมสีดำธรรมชาติ หูไม่มีรอยเจาะ ผู้คนรอบตัวเขาล้วนเป็นคนหน้าเดิมๆ ทั้งสิ้น นี่มันไม่ใช่การหลงยุค แต่มันคือการย้อนกลับมาอยู่ในช่วงเวลาที่ชีวิตเคยผ่านไปแล้ว “ไอ้โด้ไปไหนวะ?” “ก็ไปตีกลองไง มึงเป็นอะไรเนี่ย” ท่าทีเลิ่กลั่กหันมองนู่นนี่ตลอดเวลาทำอิทธิกรต้องเขย่าไหล่เพื่อนรักเพื่อเรียกสติ บุริศร์เองก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังทำตัวประหลาด เขารีบยืนตัวตรงเมื่ออาจารย์ประจำชั้นเดินเข้ามาใกล้พร้อมเสียงกลองปล่อยแถวที่ดังขึ้น ยังไงตอนนี้ก็คงต้องทำตัวตามน้ำไปก่อน หรือทั้งหมดนี้มันจะเป็นเพราะเรื่องนั้นกันนะ… “บุ้ง วันนี้มึงมีเรียนพละอ่อวะ” บนชั้นเรียนที่ยังคงเจี๊ยวจ๊าวเหมือนอย่างทุกวัน กระทั่งมาขึ้นห้องแล้วเสียงเอ่ยแซวเรื่องใส่ชุดผิดมาโรงเรียนก็ยังดังไม่ขาด บรรยากาศเดิมๆ ที่คลุกคลีมาเกือบสิบปีดึงความทรงจำย้อนกลับมาหมด เสียงหัวเราะทำบุริศร์นึกอยากจะลุกขึ้นไปตบไอ้ตัวปากดีที่ยังเอาแต่แซวไม่หยุด “มึงหุบปากไปเลย” “หูยยย ดุจริงแม่คุณ” เจ้าของร่างสูงโปร่งกับดวงตาตีบตี๋หัวเราะชอบใจ ย้อนเวลากลับมาหลายปีจิรุตน์ก็ยังทำตัวกวนประสาทเหมือนเดิม ได้แต่นึกขัดใจที่ไม่อาจตอบโต้ได้เพราะรู้ว่ายิ่งพูดก็จะยิ่งถูกแหย่ ท่ามกลางความวุ่นวาย ดวงตาเรียวรีกวาดมองไปทั่วห้องทบทวนใบหน้าเพื่อนแต่ละคน แม้บางคนจะย้ายไปก่อนเรียนจบจนเกือบลืมชื่อไปแล้วแต่ส่วนมากก็มีแต่หน้าเดิมๆ ที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถม อนุบาลทั้งนั้น เมื่อกี้ไอ้เอ๊ะ ตัวกวนประสาท ที่นั่งอยู่ข้างหน้านั่นไอ้หมี ผู้หญิงตรงมุมนู้นคือแอ๋มรองหัวหน้าผู้หญิง ตรงโน้นคิมเพื่อนชัช ส่วนอีเอ้หรืออีเอ๋นี่คงไม่ต้องทบทวนเพราะช่วงเวลาไหนก็มีมัน ทุกความคุ้นเคยของบรรยากาศในห้องเรียนย้อนกลับเข้ามาในหัวใจ บุริศร์บอกไม่ได้ว่าเขารู้สึกยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า มันประหลาด พิลึก แต่ในความประหลาดก็มีความเคยชิน ทุกคนเป็นเพื่อนที่คลุกคลีใกล้ชิดกันมาตลอดหลายปีมันก็เลยไม่ได้รู้สึกห่างเหินขนาดนั้น แถมจะยังทำให้รู้สึกคิดถึงซะด้วยซ้ำ “อีเอ้” “ว่า” “วันนี้วันที่เท่าไหร่” “วันที่ 8 ไง” “ปีอะไร” “55” บุริศร์มองหน้าเพื่อนซี้ราวกับต้องการจะตั้งคำถาม แน่นอนล่ะว่านี่คืออีเอ้ตัวจริงเห็นๆ แต่เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี “มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย?” “ชัชมันไปไหนวะ” ศีรษะทุยชะโงกขึ้นมองข้ามหัวเพื่อนนักเรียนไปยังโต๊ะริมสุดฝั่งติดประตูซึ่งเป็นที่นั่งประจำของใครบางคน ทว่าก็ต้องฉงนใจเมื่อไม่เห็นใครคนนั้นอยู่ที่เดิม “แหม มาถึงก็ถามหาผัวแต่เช้า มันไปหาจารย์ห้องธุรการนู่น” “อ๋อ…” รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อยที่อย่างน้อยก็รู้ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไป คิ้วเรียวขมวดมุ่นเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนหลังจากฟูมฟายกับเพื่อนซี้จนเผลอหลับไป บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวเขาย้อนกลับมาที่นี่ ‘ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นได้จะสารภาพรักกับชัชไหม’ มันจะใช่จริงเหรอ? เป็นเพราะเรื่องแค่นั้นจริงเหรอ? ขณะที่กำลังมัวแต่ครุ่นคิด เสียงเคาะไม้กับโต๊ะก็เรียกความสนใจจากนักเรียนที่กำลังคุยซอกแซกให้หันมองอาจารย์ประจำชั้นที่เดินเข้ามาพร้อมสมุดเช็กชื่อแล้วตามมาด้วยนักดนตรีดุริยางค์ อรรถวิทย์รีบวิ่งเข้าประตูหลังห้องไปนั่งยังที่ประจำก่อนที่เสียงเช็กชื่อจะเริ่มดังขึ้น “เช็กชื่อนะ กฤษณะ” “มาครับ” “พิทักษ์” “มาคร้าบ” “จิรุตน์” “มาคร้าบจารย์” “บุริศร์” “มาครับ” “อรอุมา” “มาค่ะ” “ชัชพิสิฐ” “ชัชไปหาจารย์พิเชษฐ์ครับ” เสียงทุ้มจากเพื่อนสนิทเจ้าของชื่อขานรับแทน อาจารย์สาวพยักหน้าแต่ยังไม่ทันจะได้เรียกชื่อถัดไป เจ้าของร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกระดาษในมือ ‘ชัชพิสิฐ’ เดินเข้าไปคุยบางอย่างกับอาจารย์ประจำชั้นพร้อมวางกระดาษไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหันเดินกลับไปยังที่นั่งประจำ และในจังหวะที่หันมา ใบหน้าคมกับดวงตากลมโตฉายแววลุ่มลึกก็ทำหัวใจของใครบางคนเต้นแรงอีกครั้ง ความรู้สึกนี้มันกลับมาอีกแล้ว… ริมฝีปากบางขบเม้มแน่น บุริศร์รู้สึกเหมือนใบหน้ากำลังร้อนวูบวาบ หัวใจเต้นโครมครามเมื่อได้เห็นใบหน้าที่เป็นเจ้าของหัวใจมาตลอดชั้นเรียนมัธยม ทั้งที่คิดว่าจะลืมความรู้สึกนี้ไปแล้ว มันเหมือนกับเมื่อวานเองที่เพิ่งได้เห็นหน้านักเรียนใหม่ที่ย้ายเข้ามาในห้องครั้งแรกแล้วหัวใจเขาก็ถูกสะกดให้ต้องหวั่นไหวไปอย่างยาวนาน ทั้งอาการใบหน้าร้อนเห่อ ฝ่ามือชื้นเหงื่อ อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนหูอื้อขึ้นมาซะดื้อๆ มันกี่ปีแล้วบุริศร์ ความรู้สึกตกหลุมรัก มันกลับมาอีกแล้ว… To be continued…

สามารถติดตามอ่านเนื้อหาทั้งหมดได้ในแอป