เสียงดนตรีโบราณดังแว่วหวานท่ามกลางความมืด บ้างก็มีเสียงหัวเราะดังแทรกขึ้นมาเป็นระยะ หากแต่เสียงแห่งความวุ่นวายเหล่านั้นกลับมิได้สร้างความรำคาญให้แก่ผู้คนที่อยู่ใกล้ท้องน้ำแห่งนี้ คล้ายมีกำแพงโปร่งใสล้อมรอบปกป้องสองพื้นที่ให้แยกจากกัน
เดิมทีสองโลกแห่งนี้ก็แยกจากกันอยู่แล้ว…
งานรื่นเริงที่เกิดขึ้นในปราสาทรูปทรงแบบโบราณของผู้เป็นใหญ่ในสถานที่แห่งนี้ วันนี้ดูพิเศษมากกว่าที่เคย เนื่องจากเป็นโอกาสมงคลที่จ้าวแห่งรัตติกาล ‘ยาฉะ’ จะได้แต่งงานออกเรือนเสียทีหลังจากครองตนเป็นโสดเกือบแปดร้อยปี เหล่าทวยเทพจากทั่วทุกสารทิศรวมปีศาจน้อยใหญ่ต่างก็มาร่วมแสดงความยินดีด้วย
เว้นเสียก็แต่คนนึงที่ดูท่าจะไม่ใคร่ชอบใจเท่าไหร่…
และคนคนนั้นก็เป็นเจ้าสาวคนสำคัญในงานเลี้ยงนี้ ใบหน้าหล่อเหลาที่ถูกตกแต่งอย่างดีฉายแววเฉยเมยออกมา ร่างสมส่วนอยู่ในชุดชิโรมุคุสีขาวสะอาดยิ่งขับให้ผิวขาวเนียนละเอียดเด่นสะดุดตา
ปากสีสวยรับกับเรือนผมสีเทาที่ถูกตัดแต่งเข้าทรง นัยน์ตารีเรียวไม่สบตากับผู้ใดทำเพียงก้มมองมือตนเงียบๆ เท่านั้น ยิ่งภายนอกสงบนิ่งเท่าไหร่ภายในก็โหมคลั่งดั่งพายุมากเท่านั้น
ชายหนุ่มได้แต่สบถด่าทอโชคชะตาที่ทำให้เขาต้องมาเผชิญชะตากรรมเช่นนี้
โชคชะตาที่เขาไม่อาจหาญจะหลีกหนีได้
เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นในหมู่เทพและอสูร จับจ้องร่างที่ดูเล็กจ้อยกว่าผู้นั่งเคียงข้างด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย
เสียงนั้นเบาเหมือนกระซิบ แต่กลับดังเมื่อหยดลงบนฝูงชน เพราะเรื่องสำคัญที่ไม่อาจจะปล่อยผ่านไปได้ ข่าวนั้นสาดกระเซ็นเป็นวงเหมือนขว้างก้อนหินขนาดใหญ่ลงผืนน้ำ
เสียงพวกนั้นต่างพากันบอกว่า
เจ้าสาวคนนั้น…
‘เป็นมนุษย์’
โลกใบนี้มีสิ่งที่ไม่ควรมองเห็นอยู่…
ในค่ำคืนที่ฝนตกห่าใหญ่แผ่ความเปียกชื้นไปทั่วทั้งเมือง พวกปีศาจต่างกรีดร้องเรียกหาเหยื่อผู้โชคร้ายมาเซ่นสังเวยความหิวโหยไม่รู้จบในยามรัตติกาล ในช่วงเวลาที่โลกสองใบอาจจะเผลอไผลปล่อยให้ประตูสักบานตรงกัน เปิดให้วิญญาณคนตายก้าวข้ามมาสู่โลกใบนี้ พยายามช่วงชิงไฟชีวิตที่ลุกสว่างด้วยความโลภเหลือคณา
มนุษย์ผู้ใดก็ไม่ควรจะทำตนโง่งมเช่นการพูดถึง จ้องมอง หรือสงสัย
เพราะเมื่อพลาดพลั้งไม่เพียงเสียสติสุดท้ายแม้แต่ชีวิตก็อาจรักษาไว้ไม่ได้
แต่มนุษย์ผู้นั้นคงไม่ใช่เขา
‘คิริโนะ โคเซย์’
เขาที่ครอบครองดวงตาแสนวิเศษคู่นี้พร้อมโชคร้ายที่ต้องเผชิญหน้ากับมันมาตั้งแต่เกิด
โลกของวิญญาณคนตายแบบที่คิริโนะ โคเซย์เผชิญอยู่ทุกวี่วันโลกในสายตาของเขาช่างน่าหวาดหวั่น เพราะมีสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์โผล่มาให้เห็นอยู่เสมอ เริ่มจากวันเป็น เดือน และ ปี เนิ่นนานจนลืมนับว่าเขาใช้ชีวิตผ่านเรื่องราวบ้าบอนี้มาได้อย่างไร
ทั้งการที่เขาได้พบกับบุรุษผู้ครอบครองท้องนภาสีเลือดไว้ในดวงตา
แม้ลืมเลือนสิ้นถึงสิ่งที่ได้เผชิญเมื่อวันวารครั้งเยาว์วัยแต่กลับจดจำดวงตาน่ากลัวนั้นได้ไม่มีวันลืม
นั่นทำให้โคเซย์ไม่ชอบตอนกลางคืน
พูดให้ชัดๆ คือเขาไม่ชอบตอนกลางคืนที่ฝนตกเป็นพิเศษ หรือพูดให้ชัดมากกว่านี้คือเขาไม่ชอบทั้งตัวเอง และครอบครัว
ที่ทิ้งขว้างเขาขนาดนี้ในค่ำคืนที่ฝนตกหนัก ตั้งแต่จำความได้โคเซย์มีแต่ความรู้สึกว่าโลกช่างโหดร้ายและเย็นชากับเด็กชายตัว
เล็กๆ เหลือเกิน เพราะการเกิดมาของเขาเป็นความไม่พร้อมของทั้งพ่อและแม่ที่ยังอยู่ในวัยเรียน โคเซย์เลยได้แต่เติบโต
แบบไม่สมประกอบ ตอนเด็กๆ ก็ขาดสารอาหารจากการทิ้งขว้างของพ่อแม่ ที่แม้แต่นมสักหยดก็ยากเต็มทีที่จะได้ดื่ม
ต้องขอบคุณที่อย่างน้อยแม่ก็ยังมีสำนึกดีพอที่จะไม่เอาเขาไปทิ้งอีกครั้ง
ใช่อีกครั้ง…เพราะเเม่ของโคเซย์พยายามจะทำมันมาแล้ว
ในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเป็นพิเศษ
เขาโดนทิ้งให้เกือบตายลำพังในตรอกแคบๆ ของเมืองใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น แต่เรื่องนั้นเขาก็เลือกจะช่างมันไปแล้ว อย่างน้อยขอแค่มีชีวิตรอดไปวันๆ ก่อนก็พอ
ไม่กลายเป็นซากผีสีดำๆ แบบเจ้าพวกนั้นก็พอแล้ว
โชคดีที่เพราะรัฐบาลยังสนับสนุนค่าเล่าเรียนทำให้โคเซย์ยังสามารถเข้าเรียนได้ถึงโรงเรียนมัธยมปลาย ถึงเจ้าตัวจะไม่สนใจอะไรมากนักเพราะแค่เอาชีวิตให้รอดกับทำให้ท้องไม่หิวก็ดูลำบากมากแล้วสำหรับเด็กอายุสิบเจ็ดอย่างเขา และเพราะจำใจต้องเรียนในโรงเรียนที่ขึ้นชื่อเรื่องอันธพาลทำให้ชีวิตทุกวันเหมือนอยู่ในสงครามไม่ทำร้ายคนอื่น คนอื่นก็ทำร้ายเขา ทำให้โคเซย์หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกลับบ้านดึกกว่าทุกวัน เพราะการถูกรุมชกต่อยที่ข้างโรงเรียน
มันก็แค่…เรื่องธรรมดา…ในวันธรรมดา
ไม่มีใครสนใจชีวิตเขาด้วยซ้ำ
เสียงเปิดประตูดังขึ้นในอะพาร์ตเมนต์แคบๆ แทรกเสียงฝนกระหน่ำ โคเซย์ปาดหยดน้ำออกจากใบหน้าอ่อนวัยลวกๆ พร้อมกับกวาดตามองห้องมืดไร้ผู้คนด้วยความชินชา ดวงตาของเขามีสีพิเศษแบบที่แพทย์ยังหาคำอธิบายไม่ได้ มันเป็นสีทองอำพันสวยและนั่นก็ทำให้เขาถูกจับจ้องเสมอมา
ทั้งจากมนุษย์ด้วยกันเอง และสิ่งที่ไม่ใช่
ห้องเงียบเหมือนเช่นเคย แม่ของเขาคงออกไปท่องราตรีตามปกติวิสัย โคเซย์อาศัยมองฝ่าความมืดเดินเลี่ยงขวดเหล้าและกองขยะที่ถูกวางทิ้งระเกะระกะอยู่กับพื้น ร่างสูงสมวัยถอนหายใจยืดยาวหลบเลี่ยงเข้าห้องนอนตัวเอง จำต้องทนหิวเพราะคิดว่าแม่ของเขาคง ไม่ทิ้งอะไรไว้ให้แน่นอน
“เฮ้อ”
เด็กหนุ่มระบายอารมณ์ที่ย่ำแย่เต็มทนด้วยการปล่อยลมออกจากปอดแล้วทิ้งตัวลงนั่งกับเตียงแคบๆ ในห้องอับชื้น ไฟหัวเตียงถูกเปิดพร้อมกับร่องรอยของคราบน้ำฝนที่ไต่ย้อยลงมาจากฝ้าเพดานที่ขึ้นราเด็กหนุ่มยกแขนวางพาดไว้บนศีรษะ ก่อนยกขึ้นจ้องมองกำไลลูกปัดสีทองเกลี้ยงเกลาบนข้อมือส่องประกายเมื่อต้องแสงสีเดียวกับดวงตา ที่ไม่ทราบว่ามันติดตัวเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ มันดูใหม่เสมอจนกระทั่งไม่กี่วันที่ผ่านมา โคเซย์ไม่ได้คิดสิ่งใดให้มากความนอกจากนั้นเพราะต้องต่อสู้กับความหิวที่ประท้วงด้วยเสียงร้องน่ากลัวจากท้องของเขาเองและโคเซย์ก็เลือกหนีความจริงด้วยการปล่อยให้ตัวเองหลับใหลไปท่ามกลางเสียงฟ้าร้อง
และฝนที่เทกระหน่ำลงมา
ไม่นานเสียงลมหายใจสม่ำเสมอก็ดังขึ้นเป็นระยะพร้อมเสียงฝนพร่ำ
ดาราเคลื่อนคล้อยพาจันทราเคลื่อนที่ต่ำลงทำให้แสงจันทร์นวลสาดส่องคนบนเตียงที่นอนอยู่ โคเซย์ขยับเปลือกตายุกยิกด้วยรู้สึกว่าแสงสว่างรบกวนการนอนของตนมือขาวขยับเคลื่อนคว้าหาสวิตช์โคมไฟหัวเตียง เพื่อปิดมันแต่ก็คว้าได้เพียงอากาศและเพราะแบบนั้นตัวเขาเองก็เสียหลักหล่นลงมาจากเตียงเสียครึ่งตัวทำให้มีแต่ท่อนล่าง เท่านั้นที่พาดอยู่บนเตียงใหญ่
เด็กหนุ่มกวาดสายตาเมื่อแสงสว่างไม่ได้มาจากโคมไฟที่ริบหรี่ของตนแต่เป็นดวงจันทร์กลมโตที่ลอยใกล้จนเหมือนแค่เอื้อมมือออกไปก็สามารถแตะต้องได้
“เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย”
โคเซย์เผลอ สบถออกมาเมื่อแสงที่ส่องจากหน้าต่างถูกพาดทับด้วยบางสิ่งที่มีขนาดใหญ่ เกล็ดสีทองสะท้อนล้อแสงจันทร์เจ้าปรากฏรูปร่างยาวที่คล้ายงูแต่มีขนาดใหญ่และงดงามกว่ามาก สิ่งที่เขาได้ยินเพียงแต่ในตำนานปรัมปราของโลกมนุษย์
มังกร…
โคเซย์รีบผุดลุกขึ้นนั่งเหงื่อโทรมกาย ใบหน้าซีดเมื่อสมองรับรู้ว่าเขาอยู่ในที่ที่ห่างจากห้องของตัวเองมากนัก รีบวิ่งไปที่ประตูกระดาษแบบญี่ปุ่นโบราณ กระชากเลื่อนเปิดและก้าวเท้าไปที่ระเบียงกว้างเผยให้เห็นเวิ้งน้ำสุดลูกหูลูกตาปรากฏแก่สายตา เสียงดนตรีโบราณลอยล่องมากับผืนน้ำ สายลมเย็นพัดขึ้นจากส่วนล่างสุดของปราสาทจูบผิวน้ำและลอยขึ้นมาปะทะเข้ากับผิวหน้า
ไม่ใช่แค่ห้องนอนแต่เป็นปราสาทโบราณ!
เพียะ!
เสียงฝ่ามือกระทบแก้มขาวดังกังวานชัด ก่อนเจ้าตัวจะยกมือขึ้นกุมเพราะความเจ็บปวดที่แล่นริ้วตามรอยแดงที่ปรากฏทันที
ไม่ได้ฝัน?
“ก็ตื่นอยู่ไม่ใช่รึ?”
เสียงทุ้มกังวานดังขึ้นด้านหลัง โคเซย์เหยียดแผ่นหลังตรงด้วยปกติตัวเองเป็นคนที่ประสาทหูค่อนข้างไวต่อเสียงรอบข้าง แต่คนด้านหลังกลับปรากฏกายออกมาได้โดยที่เขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้า เขาตั้งใจจะหันหลังไปแต่กลับถูกประกบด้านหลังเสียก่อนฝ่ามือเย็นเยียบบีบลงบนบ่า ไม่หนักจนรู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่เบาจนแทบไม่รู้สึกอะไร
เสียงทอดถอนหายใจคล้ายคนเบื่อหน่ายดังขึ้นจนเขาต้องขมวดคิ้ว
ไอ้คนอยากจะแสดงความรู้สึกแบบนั้นคือเขาไม่ใช่หรือไงกันล่ะ!
“นายเป็นใคร? แล้วที่นี่ที่ไหน?”
“ที่เดิม แค่ประตูต่างบานเท่านั้น…ใครใช้ให้เจ้าดันเห็นประตูอื่นกันล่ะ”
“แล้วคิดว่าฉันอยากจะเห็นหรือไง!” โคเซย์เค้นเสียงลอดไรฟัน เขาไม่เคยกลัวใครหรืออะไรมากนัก เพราะตลอดเวลาถึงจะเห็นวิญญาณร้ายอยู่บ่อยครั้ง แต่พวกมันก็ทำท่าหวาดผวาใส่เขามากกว่าจะมากล้ำกรายด้วย คิดเห็นแล้วก็สรุปว่าเขาอาจจะมีวิญญาณของเซย์เมย์คุ้มครองอยู่ก็ได้แบบในการ์ตูนแอนิเมหลายๆ เรื่อง
“ก็คิดแต่อะไรเหลวไหลเสียแบบนั้น” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นเหมือนอ่านความคิดออก
“ก็หยุดยุ่งในหัวฉันได้ไหม!”
เสียงหัวเราะแผ่วในลำคอทำให้เขายกไหล่ขึ้น กัดฟันข่มความหวาดกลัวตามการลากนิ้วเลื่อนจากไหล่ไปด้านหลังลำคอ โคเซย์สัมผัสได้ถึงปลายแหลมคมของเล็บที่ไม่ใช่แบบของมนุษย์ มันถูกกดลงเล็กน้อยพอให้ผิวขาวรู้สึกเจ็บ
นัยน์เนตรสีเลือดกดลง มองผู้ที่ถูกจับตรึงอยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกชื่นชม
สิบสองปีเต็มที่อีกฝ่ายสามารถเติบโตมาได้ ถึงไม่เรียกว่าดีแต่ก็ไม่แย่เท่าตอนที่เคยได้เจอกัน
เว้นแต่นิสัยดื้อดึงไม่กลัวใครที่ไม่รู้ว่าผุดขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหนนี่สิ
“ไม่ได้ยุ่งสักนิด…แค่สัมผัสได้ว่าคิดอะไรไร้สาระ”
“นี่!”
“มันจะดีเหรอถ้าเอาแต่โวยวายตอนนี้ พวกปีศาจน่ะอยู่ที่นี่เพียบเลยนะ” เจ้าของเสียงปริศนาเอ่ย ดันโคเซย์ให้เข้าใกล้ระเบียง ดันให้มองด้านล่าง คำพูดของเขาเป็นของจริงขบวนปีศาจมากมายหลั่งไหลข้ามสะพานจากสุดปลายทะเลสาบเพื่อมาที่นี่ โคเซย์กลั้นหายใจเมื่อพวกมันหันซ้ายหรือขวาเหมือนมองหาอะไรบางอย่างและส่งเสียงดังเหมือนกำลังดีอกดีใจ
“พวกมันมาทำไม แล้วทำไมฉันมาอยู่ที่นี่?”
“พวกเขามาดูเจ้าสาวคนที่สองในรอบแปดร้อยปีล่ะมั้ง”
“เจ้าสาวอะไร? แล้วทำไมฉันต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย นายจะกินฉันหรือไง?”
“ไม่มีใครกินเจ้าสาวตัวเองหรอก”
อีกฝ่ายปล่อยมือให้โคเซย์หันมาเผชิญหน้า ผมสีแดงดุจโลหิตเตะตาเมื่อต้องลม ใบหน้าหล่อเหลาแต่อวดดีฉายชัดในคืนจันทร์กระจ่าง รอยยิ้มน่าหมั่นไส้ถูกส่งมาให้ โคเซย์ถอยหลังติดราวระเบียงเมื่อบางอย่างในใจเตือนว่านี่ไม่ใช่บุคคลที่เขาจะต่อต้านได้ด้วยกำลังถึงแม้รูปกายภายนอกจะดูคล้ายมนุษย์มากก็ตาม
ก็แค่คล้ายแต่ไม่ใช่
หมอนี่ดูทรงพลังที่สุดในบรรดาพวกที่เขาเคยเจอมาเลย
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ ฉันไม่ใช่ปีศาจ เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา”
“แต่ไหนแต่ไรมา ของบูชายัญก็เป็นมนุษย์อยู่แล้วนี่ เจ้าจะปฏิเสธแบบนั้นก็ไม่ถูกแถมแม่เจ้าก็อนุญาตแล้วด้วย”
“แม่? บ้าอะไรวะ แม่จะไปอนุญาตอะไรแกได้” โคเซย์ตวาดอย่างหัวเสีย เขาที่โดนทอดทิ้งมาตลอดจู่ๆ ก็โดนอ้างด้วยบุพการีที่เหลือแค่คนเดียวว่าอนุญาตให้แต่งกับผีห่าซาตานตนไหนก็ไม่รู้เนี่ยนะ
แต่งกับผีน่ะสิ!
“ฉันเป็นผู้ชาย จะไปแต่งกับนายได้ยังไงและจะไม่แต่งกับนายด้วย”
“ถึงตายก็ไม่แต่งหรือ?”
โคเซย์ชะงักกับคำพูดอีกคนเขาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลา ฝีเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปจากตรงนั้นต้องหยุดลงเพราะอีกคนค่อยๆ สาวเท้าเข้ามาใกล้ มันเป็นระยะที่ทำให้ใจวูบไหว เมื่อกำไลที่ข้อมือของตัวเองเริ่มร้อนจนเด็กหนุ่มต้องก้มไปมองด้วยความตกใจ มันค่อยๆ เปล่งแสงสว่างมากขึ้นเมื่อร่างสูงเข้ามาใกล้ตนเรื่อยๆ สุดท้ายเพราะไร้ทางเลือกเขาเลยเลือกทางเดินโง่ๆ เช่นการ…
ปีนขึ้นไปยืนบนระเบียง
“ฉันไม่รู้ว่านายต้องการอะไรจากฉัน แต่ถ้าฉันตายนายก็จะไม่ได้มันสินะ” อีกฝ่ายชะงักเมื่อเขาข่มขู่ ดวงตาสองสีจ้องสบกันก่อนเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจะระเบิดออกจากคนที่ตัวสูงกว่า
“ชาตินี้ก็ยังทำแบบเดิมหรือ?”
“อะไร? อ๊ะ!”
โคเซย์อุทานอย่างตกใจเพราะไม่เพียงอีกฝ่ายจะไม่ยอมถอยยังก้าวเข้ามาประชิดแล้วออกแรงผลักเขาให้ตกลงไปเสียด้วยซ้ำ จากความสูงไม่ต่ำกว่ายี่สิบเมตรนี่ต่อให้ข้างล่างเป็นน้ำ เขาก็มั่นใจว่าตัวเองจะเจ็บหนักแน่นอน มือเย็นเอื้อมมาจับข้อมือเขาไว้ในเสี้ยววินาที นัยน์ตาสีเลือดแสดงออกถึงความสนุกที่กำลังได้หยอกล้อมนุษย์ตัวน้อยตรงหน้า
“ยังจะไม่แต่งอีกไหม?” โคเซย์กัดฟันกรอดดวงหน้าเชิดขึ้นอย่างดื้อรั้น แม้ในใจจะพร่ำตะโกนบอกให้ยอมจำนนโดยดีแต่ก็ยังมีศักดิ์ศรีที่มองไม่เห็นปล่อยให้ริมฝีปากขยับอยู่
“ถึงตายก็ไม่มีวัน”
“โอ้”
อีกฝ่ายส่งเสียงเหมือนแสร้งแปลกใจ ดวงตาเปลี่ยนสลับจากสนุกสนานเป็นเคลือบความเศร้าหมอง ระบายยิ้มบางแสดงสีหน้าที่อ่านไม่ออกใส่เขา
ทำไมถึงยิ้มทั้งๆ ที่ดวงตาเหมือนจะร้องไห้ออกมาขนาดนั้น?
“ถึงตายก็ไม่แต่งสินะ งั้นก็…ลากันเพียงเท่านี้”
“เดี๋ยว!”
“หลับให้สบายเจ้าสาวข้า”
โคเซย์เบิกตาเมื่อบุรุษปริศนาปล่อยมือฉับพลัน เขาร่วงหล่นอย่างรวดเร็วสู่เบื้องล่าง เสียงสายลมกรีดร้องหวีดหวิวเหมือนพยายามบอกว่าเขาตกลงมาจากที่สูงมากเพียงใด อีกฝ่ายตัวเล็กลงเรื่อยๆ และหายลับจากสายตา ชั่วขณะที่ความเย็นเฉียบของสายน้ำปกคลุมร่างกาย เปลือกตาของเขาก็วูบดับลงเพราะความเจ็บปวด
“เฮ้ย!!”
โคเซย์ผุดลุกขึ้นบนเตียงเก่าโทรมของตัวเอง มองไปรอบห้องก่อนจะยกมือขึ้นลูบใบหน้าที่มีแต่เม็ดเหงื่อแล้วลามไปตามร่างกายเพื่อเช็กว่าตัวเองไม่ได้ตกจากที่สูงแล้วกระแทกทะเลสาบจริงๆ
ฝันเหรอ?
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นหอบหายใจถี่เพราะความเหนื่อยจากฝันที่เขาพึ่งจากมา มือไม้เย็นเยียบเพราะจำได้ถึงอุณหภูมิของน้ำและความหวาดกลัวยามร่วงหล่นได้ดี เขาตัวสั่นเพราะสายตาคู่นั้นถึงจะบอกลาแต่ก็เหมือนเป็นการจากลาแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะสายตาที่คงจ้องมองมาถึงกระทั่งเขาหายลับไปในสายน้ำ
ฝนยังคงตกอย่างหนักนอกหน้าต่าง เสียงเม็ดฝนกระทบกระจกเหมือนเสียงเคาะนิ้วรัวๆ อยู่อย่างนั้น โคเซย์เหม่อมองออกไปในความมืดเพียงชั่วครู่ก่อนตัดสินใจล้มตัวลงและพยายามนอนต่อถึงจะพึ่งตื่นจากฝันร้ายของตัวเอง เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือมือที่เคลือบเมือกสีดำมากมายพยายามดันกระจกหน้าต่างเขาอยู่แบบเดิมๆ ในคืนที่ฝนตกหนัก อย่างน้อยที่สุดเขาก็ตัดสินใจว่ามันก็เป็นหนทางเดียวที่เขาจะผ่านพ้นค่ำคืนที่ฝนตกหนักนี่ไปได้
ไม่ต้องเผชิญกับความหวาดกลัวตามลำพัง
ก็แค่นอนหลับแล้วรอให้เช้าเท่านั้น
โดยไม่รู้เลยว่าเงาสีดำที่ไม่เคยกล้ำกรายเข้ามาหาเขากำลังคืบคลานอยู่ตามพื้นและใต้เตียงเหมือนกำลังพยายามหาบางสิ่งบางอย่าง กำลังจะเปิดเผยตัวออกมา
เบื้องนอกหน้าต่างบนถนนที่ไร้ผู้คนชายหนุ่มร่างสูงสองคนยืนกางร่มใต้เม็ดฝนหนา ใช้ดวงตาสีเลือดจ้องมองไฟสลัวที่ถูกเปิดไว้ตลอด
“ไม่แกล้งแรงเกินไปหรือครับนายน้อย เหมือนว่าจะสะเทือนขวัญพอควรจริงๆ”
โอซามุเอ่ยถามชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ที่ยืนกอดอกอยู่ในชุดยูกาตะสบายๆ ตัดกับสภาพอากาศราวกับว่าละอองฝนไม่สามารถแตะต้องตัวเขาได้ด้วยซ้ำ ผมยาวสีแดงถูกรวบไว้เรียบร้อย อีกฝ่ายทำเพียงหัวเราะแล้วโบกไม้โบกมือ
“ไม่เป็นอะไรหรอก ก็คิดว่าเป็นฝันร้ายแล้วยังนอนต่อได้เลยนี่” เขายิ้มอวดเขี้ยวขาววาดมือแบออกแล้วกำเข้าหากันคล้ายบีบอัดอะไรบางอย่าง พวกฝูงผีที่ไต่ไปมารอบหน้าต่างก็สลายไปในอากาศ เขายืนมองอยู่แบบนั้นก่อนจะถอนหายใจ
“ไปกันเถอะ เรามีเรื่องต้องทำอีกมาก”
“ก่อนจะถึงวันที่ต้องมารับเจ้าสาวของข้าจริงๆ”
เสียงสบายๆ เอ่ยตอบกลับหลังหันเดินไปตามถนนที่มีแค่ไฟรายทาง นึกถึงสีหน้าดื้อดึงที่กล้าตวาดใส่เขาแล้วอดส่งเสียงขำออกมาไม่ได้ สร้างความฉงนใจให้แก่บริวารที่เดินติดตามอยู่
“มาดูกันเถอะว่าจะทนได้อีกกี่วัน”
ใช่…เพราะกำไลเส้นนั้นใกล้จะขาดแล้วยังไงล่ะ
To be continued