1
เจ้าคุณมีอายุได้ไม่กี่นาทีตอนที่แม่ตายจากไปแล้ว ร่างของเขาถูกมัดอยู่กับเธอด้วยเชือกบิดเบี้ยวน่ารังเกียจ ประคองอยู่ในผนังเนื้อแวววาว ผนังเหล่านั้นกั้นไม่ให้แสงสว่างเอื้อมถึงเขา กว่าจะรู้ตัวทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว
การตายของพ่อดีกว่าแม่นิดหน่อย พ่อพร่ำเพ้อหาแม่เสมอกระทั่งจากไปด้วยโรคไต มันเป็นแค่วันธรรมดาวันหนึ่ง ไม่มีสัญญาณเตือน ไม่มีคำสั่งเสีย เจ้าคุณแค่ดันเปลือกตาของพ่อขึ้นไปและเห็นลูกตาของเขามองตรงไปที่เพดาน สิ่งเดียวที่รู้ได้คือความไร้ชีวิต กระนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของคนตายสงบเท่านี้มาก่อน อย่างน้อยพ่อก็ได้อยู่ในบ้านของตัวเอง อยู่ในที่ที่คุ้นเคย เป็นที่ที่ท่านสบายใจ ต่างกับแม่ที่โดดเดี่ยวในห้องคลอดโดยมีคนแปลกหน้ารายล้อม เขาสงสัยว่าแม่รู้สึกอย่างไรหลังจากที่ให้กำเนิด จากนั้นก็ตาย แน่นอนว่าเขาไม่มีวันได้คำตอบ คนตายไม่เคยพูด หรือถ้าพูด นั่นบอกได้ว่าเจ้าคุณได้เสียสติปัญญาไปแล้วครึ่งหนึ่ง อันที่จริง เขาคาดหวังไม่ให้พ่อกลับมาหา
เจ้าคุณไม่ได้ร้องไห้ในงานศพ เขาคิดว่าความตายซัดหมัดใส่หน้าจนมึนงง และกลายเป็นแค่หุ่นยนต์ที่ยกมือไหว้ญาติซึ่งเดินเข้ามาในศาลา พวกนั้นตบไหล่เขาแล้วปลอบประโลมว่า “ไม่ต้องเสียใจนะ พ่อเขาไปสบาย” เขามองกลับไปที่ใบหน้าพ่อ รู้สึกสับสน ได้ยินมาว่าคนตายจะเหมือนหลับไปเฉย ๆ ซึ่งว่าตามตรงเจ้าคุณไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ คุณรู้สึกถึงอีกฝ่ายเมื่อหลับ แต่ไม่สามารถรู้สึกถึงได้หากอีกฝ่ายตาย พ่อตายแล้ว นั่นเป็นความจริงที่แจ่มชัดตรงหน้าบางสิ่งไหลเข้ามาในหัวเจ้าคุณ อาจจะเป็นเพราะไฟหน้าศพของพ่อนั้นระยิบระยับจนน่าโมโห อาจจะเป็นเพราะบทสวดส่งวิญญาณดำเนินไปแบบนั้นตลอดหนึ่งหรือสองชั่วโมงที่วัด ความคิดพิเรนทร์แต่เย้ายวนใจผุดขึ้นในหัว ความคิดนั้นเสนอให้เจ้าคุณถ่มน้ำลายลง แล้วบอกกับพ่อว่าตัวเองยินดีแค่ไหนที่ทุกอย่างจบลงเสียที และเขารอไม่ไหวที่จะส่งพ่อเข้าเตา เผาไม่ให้เหลือแม้แต่ตอตะโก
เจ้าคุณไม่ได้ทำอะไรมากกว่ายกศพเข้าโลง จากนั้นก็ตั้งไว้อีกสามวันอย่างที่ญาติแนะนำ จากนั้นก็ส่งเงินให้สัปเหร่อจัดการกับขั้นตอนสุดท้าย เราห่อพ่อเอาไว้ข้าง ๆ กับแม่ในห้องพระ หลังจากงานศพเสร็จสิ้น เจ้าคุณยกบ้านหลังนั้นให้ป้าและออกมาหาที่อยู่ใหม่ ขายเตียงกับข้าวของทั้งหมดให้กับคนที่จำเป็นต้องใช้หนีไปตายเอาดาบหน้า แน่นอนว่าเขาโดนป้าคัดค้านพอสมควร เธอบอกว่า “ฉันไม่เข้าใจแกจริงจริ๊ง อยู่บ้านก็ดีอยู่แล้วจะเสียเงินอยู่ข้างนอกทำไม”
เจ้าคุณไม่แปลกใจที่ป้าจะพูดแบบนั้น ป้าทำทุกอย่างยกเว้นการปกป้องเด็กห้าขวบจากการโดนทำร้าย เธอมีคอที่ยาวเพื่อให้ได้ยินเรื่องของทุกคนและไม่ทำอะไรกับมันนอกจากแปรให้มันเป็นแค่เรื่องซุบซิบ เขาเรียกมันว่าเป็นกิจกรรมของชุมนุมโต๊ะหินอ่อน เจ้าคุณเก็บของอย่างเงียบเชียบ ปล่อยให้เธอบ่นมากเท่าที่ตัวเองต้องการ หลังจากนี้เขาจะไม่ต้องฟังมันทุกวัน เจ้าคุณโดนขังอยู่ที่นี่สิบเจ็ดปีตอนเป็นผู้เยาว์ มีอิสระอยู่สี่ปีที่มหาวิทยาลัย จากนั้นก็ถูกขังอีกเกือบสิบปีเนื่องจากพ่อเริ่มป่วยหนัก ขณะที่เพื่อนสร้างเนื้อสร้างตัว เจ้าคุณใช้เงินเดือนทั้งหมดไปกับการรักษาพร้อมกับค่าตอบแทนเป็นการกดดันจากญาติที่ไม่ได้เข้ามาดูแลพ่อตอนป่วย ในนามของลูกกตัญญู เรื่องเดียวที่คุณรู้สึกเศร้ากับมัน คือการที่เห็นคนที่เคยมีอำนาจอ่อนแอลง พ่อกลับมาพูดดี ๆ กับเขาตอนที่ตัวเองใกล้ฝั่ง เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผู้ชายคนนั้นเปราะบางที่สุด มันถึงเวลาไปได้แล้ว และเขาจะไม่กลับไปเหยียบบ้านหลังนั้นอีก มันมีความทรงจำมากเกินไป เจ็บปวดเกินไป เขาหวังว่าความชิงชังของตัวเองจะลดลงกว่านี้ เจ้าคุณแบกอดีตมาที่หอพักของตนในรูปแบบของแผลเป็น รอยนูนน่ารังเกียจที่ยาวจากสะบักลงมาที่เอวข้างขวา มันมาด้วยนามของความรักและการสั่งสอนจากผู้ปกครอง เขาทำเป็นไม่เห็นมัน ไม่ส่องกระจก คู่นอนของเขาถามถึงที่มาเสมอ เขาจึงสร้างเรื่องโกหกที่ไม่ซ้ำกัน เช่น เกเรจนได้แผลสมัยวัยรุ่น รถชนหนักแต่เขารอดมาได้ หรือไม่ก็ผ่านการผ่าตัดมาเนื่องจากตัวติดกับแฝดสยาม
หอพักแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานเจ้าคุณ ใช้เวลาสิบนาที หรืออาจจะน้อยกว่านั้นหากนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง มันลดค่าเดินทางมาพอสมควร เนื่องจากไม่ได้มีเงินเก็บมากนัก พร้อมกับความต้องการอันแรงกล้าที่อยากจะย้ายออกให้เร็วที่สุด เจ้าคุณจึงเลือกหอพักราคาไม่สูง มันตั้งอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของอาคารเก่าที่โดนทุบทิ้ง มีวิวทิวทัศน์เป็นบ้านหลังคาเหล็กขึ้นสนิมที่ตั้งเบียดเสียดกัน ผู้คนอยู่ที่นี่และไม่สามารถย้ายออกไปไหนได้แม้ว่าจะถูกกดดันโดยทางการ เจ้าของตึกคงหัวรั้นไม่ยอมย้ายไปที่อีกฝั่งของคลอง อีกฝั่งซึ่งประดับประดาด้วยตึกสูง หมู่บ้านจัดสรร รัฐคงอยากให้เมืองหลวงศิวิไล ด้วยเหตุนั้น การทอดทิ้งคนจนจึงง่ายกว่าการเปลี่ยนแปลง พวกนั้นส่งกระดาษไปที่แต่ละบ้านเพื่อเตือนเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง โดยมีเขาเป็นสักขีพยาน หอพักดูเหมือนจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ กำแพงไม่ได้ทาสีมานานมากแล้วและถูกตกแต่งใหม่ด้วยใบปลิวกับสีสเปรย์ มีคราบน้ำกับตะไคร่เขียวเป็นเมือกเกาะ เจ้าคุณคิดว่าจะอยู่ที่นี่อีกสักพัก ค่าเช่าแสนถูกจะช่วยให้เขาเก็บเงินได้มากขึ้นหากไม่มีอะไรผิดพลาด เขารำลึกได้ว่า ในวัยสามสิบ เขาพึ่งจะได้ชีวิตตัวเองกลับคืนมา และเวลาที่ผ่านมาเขาไม่ได้มีความสุขเลย ไม่แม้แต่สมัยเด็ก
เจ้าคุณยื่นเงินมัดจำให้ลุงเมี่ยง ผู้ดูแลหอพัก อีกฝ่ายหน้าตาเหมือนกับอาแปะตกปลาในบ่อปลาหางนกยูง หัวเกือบล้าน ท่าทางเจนโลกและไม่ยี่หระหากมีคนแทงกันตายต่อหน้า อันที่จริงเคยมีคนแทงกันตายข้างหน้าหอเหมือนกัน ลุงเมี่ยงว่างั้น “ถ้าให้แนะนำข้าว่าเอ็งไม่ควรกลับหอดึก ๆ อะนะ” เขาเลียนิ้วหัวแม่มือ นับแบงค์ในมืออย่างใจเย็น ท่าคล้ายกับอำมาตย์จอมละโมบอย่างไรชอบกล
“เป็นคนต่างจังหวัดเหรอ”
“เป็นคนกรุงเทพ ฯ นี่แหละครับ”
“งั้นเหรอ”
ลุงเมี่ยงเอออออย่างอารมณ์ดี ดูไม่ได้สนอกสนใจกับคำตอบสักเท่าไหร่ ผู้เช่ารายใหม่ก็มีไม่มากนัก ชายแก่เก็บเงินเข้าใส่ลิ้นชักแล้วก็ล็อกกุญแจตาม เขาดึงลิ้นชักสองสามครั้งเพื่อเช็กว่ามันล็อกแน่นหนาแล้ว เจ้าคุณคิดถึงลุงผู้ล่วงลับ สามีของป้า ผู้ใหญ่จะมีวิธีในการซ่อนเงินเสมอ ในกรณีของลุง แกเอาเงินไว้ในเกียร์กระปุก ดึงตรงส่วนหัวของเกียร์ออกแล้วยัดธนบัตรเข้าไปข้างใน ส่วนเขาทำความลับแตกด้วยการเล่าเรื่องนี้ให้ป้าฟัง พวกเด็ก เก็บความลับกันไม่เก่งนักหรอก
เรายืนรอกันที่ด้านหน้าของลิฟต์ ประตูของมันเป็นสีเขียวอ่อนแบบป่วย ๆ ที่สีเตรียมตัวหลุดลอกเช่นเดียวกับสีของอาคาร มันเปิดออกพร้อมกับเสียงแกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก ดวงไฟด้านในกระพริบติดขึ้นพร้อมกับเสียงหึ่งจากไฟฟ้า ดูใกล้เคียงกับการก้าวขาเข้าไปสู่มิติลี้ลับ แล้วไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก เจ้าคุณคิดย้อนกลับไปว่าทำไมตัวเองถึงเลือกที่นี่ ลุงเมี่ยงกระแอมไอแก้ต่าง
“ลิฟต์มันเล็กแล้วก็เก่าหน่อยนะ ถ้าค้างก็ไม่ต้องตกใจ กระโดดสองสามครั้งเดี๋ยวมันก็ใช้งานได้”
ในกรณีที่ลิฟต์เกิดค้างขึ้นมาจริง ๆ เจ้าคุณไม่เห็นว่าการกระโดดสองสามครั้งจะช่วย ถ้าเกิดมันร่วงลงมาเหมือนในภาพยนตร์ ศพของเขาคงดูไม่จืด เขาไม่อยากถูกจารึกว่าเป็นชายวัยกลางคนดวงซวยที่ตายคาลิฟต์ แค่นี้ชีวิตก็อัปยศเกินทนแล้ว คำถามที่น่าจะมีประโยชน์ต่อชีวิตเจ้าคุณคือ ถามว่า ที่นี่มีอะไรที่ไม่เสียบ้างครับ
มีเสียงเพลงดังมาจากที่ไหนสักแห่ง
ลุงเมี่ยงเดาะลิ้น “มาได้ทุกเย็น”
“อะไรเหรอครับ?”
“คนที่ชั้นเดียวกับเอ็ง เดี๋ยวก็เจอกัน”
เจ้าคุณเงี่ยหูเพื่อฟังว่านั่นเป็นเครื่องดนตรีชนิดไหน เสียงของมันแหลมสูง แตร? เขาคืนความรู้เกี่ยวกับเครื่องดนตรีไปหมดแล้ว เราเล่นเพลงชาติกับเพลงประจำโรงเรียนซ้ำ ๆ ในทุกช่วงเช้า เขาจำได้ลาง ๆ ว่าครูสอนให้อ่านโน้ต ส่วนคนที่อยู่ในชมรมจะเล่นได้มากกว่าเพลงมาร์ชโรงเรียน สำหรับผู้ที่มีพรแสวงทางดนตรี เพื่อนที่หัวใสจะคลำหาตัวโน้ตที่ถูกต้องสำหรับเพลงที่กำลังดังในตอนนั้น เล่นกันแบบงู ๆ ปลา ๆ เจ้าคุณนึกถึงเครื่องดนตรีสีทองเหลืองขณะที่แบกสัมภาระขึ้นไปที่ชั้นสิบ รู้สึกขอบคุณที่ลิฟต์ยังทำงานได้ดีแม้จะส่งเสียงโครกครากของเครื่องยนต์ ซึ่งทำให้ลำไส้รู้สึกหวาดเสียว เขาจ้องไฟแต่ละเลข สวดมนต์ขมุบขมิบไม่หยุดเมื่อผ่านชั้นหนึ่งสู่อีกชั้นหนึ่ง ที่ชั้นแปด ลิฟต์เริ่มขยับติดขัด เจ้าคุณคิดถึงการโดดให้ลิฟท์ขยับ แต่ไม่กล้าทำ เขายืนอย่างสงบเสงี่ยม รอให้เครื่องยนต์กลับมาทำงาน กระทั่งเรามาถึงชั้นสิบโดยสวัสดิ์ภาพ อย่างไม่น่าเชื่อ ลุงเมี่ยงช่วยถือเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่แขนลีบ ๆ ของแกจะถือไหว แกมอบกุญแจห้องให้เจ้าคุณแล้วขอตัวกลับ มีอะไรถามได้เสมอ
“ถ้าห้อง 105 พูดอะไรแปลก ๆ อย่าไปสนใจนะ มันบ้า”
บ้าดูเป็นคำครหาที่รุนแรง เขายิ้มให้แล้วพยักหน้า ปล่อยลุงเมี่ยงกลับไปทำธุระของตัวเอง เขามองข้าวของ ถอนหายใจยาวเหยียด ถ้าจะมีอะไรที่เกลียดรองลงมาจากบ้านตัวเองคงหนีไม่พ้นงานบ้าน เจ้าคุณพบว่าร่างกายกำลังกรีดร้องออกมาเป็นคำเดียวกัน : ขี้เกียจอะ
ที่ชั้นสิบ ชายหนุ่มได้ยินเสียงเครื่องดนตรีชัดขึ้น เขาคาดเดาว่าอาจจะเป็นแซ็กโซโฟน หรือไม่ก็ทรัมเป็ตกระมัง อ่า ความรู้ที่มีทั้งหมดคงหายไปตั้งแต่เขาจบมัธยมปลาย หากใคร่ครวญดู โน้ตที่โดนเป่าจนแหลมปรี๊ดทะลุฟ้าดูเป็นการจงใจ นักดนตรีเหมือนแค่อยากจะกวนประสาทเพื่อนบ้าน ต่อให้ถูกก่นด่า ต่อให้โดนขว้างปาของใส่ หรือต่อให้โลกแตกไปต่อหน้าต่อตา การแสดงนี้ก็จะไม่มีวันหยุดจนกว่าผู้เล่นจะพึงพอใจต่อผลลัพธ์ ดนตรีจากผู้ไม่หวังดีบรรเลงอยู่เหนือหัวเจ้าคุณ เขาฟังจังหวะและเห็นภาพผู้เล่นหมุนตัว กระโดดยืนบนขอบของดาดฟ้าอันน่าหวาดเสียว ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเสียงเพลงท่ามกลางเวลาย่ำค่ำ เริงร่าอยู่เหนือซากอัปปางจากความรุ่งเรืองที่รวดเร็วเกินไป เจ้าคุณหลับตาฟัง เชิดใบหน้าขึ้นเพื่อรับลมเอื่อยพัดผ่านเข้าสู่ห้อง สายลมทักทาย ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงจนเงาโอบกอดห้องพัก ดนตรีเป็นบัตรเชิญงานเต้นรำ นักดนตรียื่นมือมาหาเจ้าคุณ เอ่ยชวนให้มาเต้นรำด้วยกันที่ด้านบนสุด แจ๊สความคิดร้องบอกเขา นั่นฟังดูเหมือนดนตรีแจ๊สนะ
ลุงเมี่ยงพูดว่านักดนตรีรายนั้นมาได้ทุกวัน จริงสิ หมอนั่นอยู่ชั้นเดียวกับเรา อีกไม่นานคงได้เห็นหน้าค่าตากัน เจ้าคุณคงทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจให้ชินกับเสียง เขาลงความเห็นกับตัวเองว่า เขาไม่ถือสาหากคนคนนั้นอยากจะใช้เวลาช่วงเย็นในการซ้อม หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่หยาบคายเกินไป
เจ้าคุณจัดข้าวของแค่ส่วนหนึ่ง เตรียมเสื้อผ้าสำหรับการทำงานในวันพรุ่งนี้ ส่งข้อความคุยกับเพื่อนสมัยเรียนว่าตัวเองถึงหอพักแล้วพร้อมกับรูปถ่าย ทุกคนลงความเห็นว่าเจ้าคุณอาจจะเจอวิญญาณของผู้เช่าเก่า หรือไม่ก็โดนผีมาขอส่วนบุญ สำหรับคนที่เชื่อเรื่องผีสางเป็นพิเศษทักเขาทางข้อความส่วนตัวว่า“ห้องมึงอยู่ตรงทางสามแพร่งหรือเปล่าวะ?” กับ “ได้ไหว้เจ้าที่หรือยัง”
ความเป็นห่วงของเพื่อนนั้นเข้าใจได้ แม้จะอยู่ที่ชั้นสิบ ห้องนี้ก็ถูกบังแสงอาทิตย์จากอาคารอีกหลังหนึ่ง ช่วงชิงความสว่างตอนกลางวันเกือบทั้งหมดจนบรรยากาศขมุกขมัว เหมือนกับผงดินสอที่กระจายบนกระดาษ และคงจะวุ่นวายหากเจ้าคุณต้องการตากผ้าที่ระเบียง เขามองไปที่อีกฝั่งของตึก เด็กสี่คนวิ่งไล่กวดกันตรงทางเดิน หัวเราะเสียงดังเจื้อยแจ้ว ตะโกนด่ากันด้วยคำหยาบที่ผู้ใหญ่ใช้ (ได้ยินมาจากพ่อแม่ แน่นอนที่สุด) เจ้าคุณจำไม่ได้ว่าเริ่มพูดคำหยาบตอนอายุเท่าไหร่ หากเป็นการได้ยินนั้นก็บ่อยทีเดียว ไม่นานนัก หญิงแก่คนหนึ่งก็ชะโงกหน้ามาตะโกนใส่เหล่าเด็กน้อยว่าให้รีบเข้าบ้าน เดี๋ยวผีก็มาหลอกไม่รู้ด้วยนะ!
เขานึกถึงความเป็นไปได้ที่ผีจะปรากฏต่อหน้า คุณต้องมีบุญหนาพอจะแบ่งปันให้พวกมัน อ้างอิงจากความคิดที่เขามีต่อพ่อ เจ้าคุณไม่คิดว่าตัวเองมีบุญให้ขอหรอก ส่วนใหญ่ผีพวกนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อของบาป บุญ คุณ โทษ กับ กรรม ทุกสิ่งล้าหลังไร้เหตุผลสำหรับเขา ซึ่งส่งผลให้ช่องศาสนาในบัตรประชาชนถูกเว้นว่างเอาไว้ เจ้าหน้าที่เขตเลิกคิ้ว หล่อนถามเขาว่า “แล้วแบบนี้จะจัดการศพยังไงล่ะ” เจ้าคุณมีคำหนึ่ง คำเดียวที่โผล่เข้ามาในหัวและออกจะไม่สุภาพสักเท่าไหร่ เขาเลือกที่จะไม่พูด คุณไม่ควรกวนประสาทเจ้าหน้าที่ราชการถ้ายังอยากเดินเรื่องได้ลื่นไหล
คอแห้งผากเรียกร้องหาเครื่องดื่มเย็นฉ่ำ เขาเดินออกจากหอพักไปที่ร้านโชห่วยไม่ไกลนัก การก้าวเข้าไปในร้านเป็นภาพย้อนในวัยเด็กเสมอสำหรับเขา เขากำเหรียญเอาไว้แน่นในฝ่ามือ ซื้อขนมหลอกเด็กเพื่อแลกกับของเล่นด้านใน ซึ่งใช้งานได้ไม่กี่วันก็สึกหรอ ทักทายคุณยายซึ่งพูดได้ว่าแก่หงำเหงือก หูแกไม่ได้ยิน เจ้าคุณต้องพูดซ้ำสามรอบ รออีกหลายนาทีลุ้นให้ข้อนิ้วหงิกงอเหล่านั้นทอนเงินได้ถูกต้อง เขาเปิดกระป๋องเบียร์เย็นฉ่ำอย่างรีบร้อน เบียร์มีเนื้อเป็นวุ้นเล็กน้อยจากการแช่ในตู้ที่เย็นเกินไป นั่นดีเยี่ยมสำหรับอากาศ เจ้าคุณดื่มกระป๋องแรกหมดภายในรวดเดียว เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อกระดกเบียร์หยดสุดท้ายฟองนุ่มแผ่ซ่านบนลิ้น สายตาเหลือบเห็นใครบางคนยืนหมิ่นเหม่ที่ขอบตึก ฟ้าสีส้มฉายแสงจากด้านหลังย้อมร่างนั้นให้อยู่ในเงา เขาไม่เห็นสีหน้า ทว่ารู้สึกอย่างสุดซึ้งว่านักดนตรีกำลังยิ้มอยู่
เงื้อมมือเย็นยะเยือกคว้าต้นคอ เจ้าคุณสะดุ้งสุดตัวแล้วหันหลังขวับ
“หนูเอ๊ย ขาดไปบาทหนึ่งจ้ะ”
เขามองด้านบน ทว่านักดนตรีหายไปแล้ว
เจ้าคุณจ้องอยู่ที่จุดเดิมและถูกสะกดเอาไว้ด้วยความสงสัย เพลงเงียบไปอย่างน่าเสียดาย เขาตัดสินใจซื้อเหล้ากับบุหรี่อีกซองหนึ่ง ขวดกระทบกันยามที่เขาก้าวเดินโดยไม่ได้มองทาง เสาไฟถูกเปิดขึ้นทีละส่วน ดูคล้ายสปอตไลท์ที่ฉายส่องไปบนเวทีของโรงละครร้าง แมลงเม่าเกาะกลุ่มลอยเข้าหาความสว่างแสนหวาน อีกไม่นานปีกของมันจะร่วงหล่นจนเกลื่อนทาง และขุดร่างลงดินเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นปลวก จากนั้นก็แก้แค้นบ้านเรือนด้วยการกัดกินส่วนที่เป็นไม้ แมลงเม่าสองสามตัวบินตามเจ้าคุณเข้ามาในลิฟต์ ความโง่เขลาทำให้พวกมันบินวนไปวนมาอยู่ข้างใน หาทางออกไม่ได้ ส่วนเจ้าคุณก้าวออกมาในตอนที่ประตูห้อง 105 ถูกปิดลง คลาดกับเพื่อนบ้านไปอย่างน่าเสียดาย เขาไขกุญแจห้อง ถามตัวเองว่าควรจะเคาะประตูแวะไปทักทาย หรือกลับเข้าไปจัดการข้าวของให้เสร็จเรียบร้อย แล้วหวังว่าจะเจออีกฝ่ายพอดีเมื่อออกมาซื้อข้าวเย็น
ห้อง 105 ไม่ได้ออกมาอีกกระทั่งตอนสามทุ่ม ซึ่งเจ้าคุณกำลังอาบน้ำและลืมเรื่องการทักทายไปเลย
นั่นเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะได้เจอ แสงเหนือ โดยที่ตัวเองไม่ลำบากใจนัก การลืมเป็นข้อเดียวที่คุณควรจะทำหากต้องการชีวิตธรรมดาไปตลอดจนหมดอายุขัย
เขาเลือกทางผิดเสมอ เหมือนอย่างที่ตัวเองทำมาโดยตลอด
แต่ก็ไม่เสียใจนักหรอก
To be continued.