“บลู! บ้านใหม่ของพวกเรา!!”
เสียงร้องตะโกนของเด็กหนุ่มตัวเล็กที่กำลังอุ้มบ้านสุนัขสีขาวหลังใหญ่ลงมาจากรถบรรทุกขนาดเล็กของบริษัทขนของทำให้เพื่อนบ้านตัวสูงที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หันมองด้วยความสนใจ ก่อนจะขมวดคิ้วย่นจมูกไม่พอใจที่เพื่อนบ้านคนใหม่เลี้ยงสัตว์ที่ส่งเสียงร้องดังเอาไว้ด้วย
“บลู! มาทางนี้!!”
เด็กหนุ่มรูปร่างกะทัดรัดที่สวมเสื้อแขนยาวแถบสีเหลือง-น้ำตาลสลับกันทั้งตัว และกางเกงขาสั้นสีดำแบกบ้านสุนัขหลังใหญ่ผ่านรั้วสีขาวติดกับเพื่อนบ้านที่ทำกิจกรรมอยู่สนามหญ้าหน้าบ้าน โดยที่เด็กหนุ่มไม่คิดจะทักทายเพื่อนบ้านเลยแม้แต่น้อย เขากำลังวุ่นวายกับเจ้าสุนัขซามอยด์สีขาวเหมือนหิมะตัวเล็กที่เดินพันแข้งพันขาของเขาอยู่ในตอนนี้
พลัส เขมวันต์ ได้เจ้าสุนัขตัวเล็กที่ชื่อว่า บลู เป็นของขวัญในการย้ายบ้านใหม่จากพ่อแม่
ตุ๊บ!
เจ้าลูกสุนัขตัวเล็กแสนซนทำให้เจ้านายสะดุดหน้าคว่ำลงกับสนามหญ้า แถมบ้านหลังใหญ่ก็ดันหลุดมือลอยข้ามรั้วที่สูงแค่เมตรเดียวข้ามไปยังสนามหญ้าของบ้านที่อยู่ติดกัน
“เฮ้ย!!!”
เด็กหนุ่มตัวสูงที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่นั้นร้องลั่นเมื่อบ้านไม้ขนาดใหญ่หล่นลงกลางแปลงต้นแอสเตอร์สีเขียวขจีที่เขาหวงนักหนา พวกมันกำลังจะออกดอก แต่บ้านสุนัขอันใหญ่กลับทับต้นไม้แสนบอบบางจนต้นหักไปเป็นแถบในชั่วพริบตา
“ไอ้เด็กบ้า!! แกโยนบ้านหมามาทำไมวะ!!!” เด็กหนุ่มตัวสูงคว้าบ้านสุนัขได้ก็พุ่งไปยังรั้วสีขาวแล้วตะโกนด่าด้วยความโมโหสุดขีด
คนที่โดนด่าค่อยๆ เงยหน้ามองอีกฝ่าย แม้ว่าจะรู้สึกโมโหที่โดนด่า แต่เขาก็ผิดเองที่ปล่อยให้บ้านสุนัขหลังใหญ่ข้ามรั้วบ้านไปหล่นลงที่บ้านหลังข้างๆ พลัสยันตัวเองให้ลุกนั่งแล้วหันมองเด็กหนุ่มข้างบ้านที่ถือบ้านสุนัขหลังใหญ่ของเขาเอาไว้ด้วยท่าทางตื่นตกใจ
“ขอโทษครับ มันหลุดมือ”
พลัสรู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย แต่ก็เดินไปหาเพื่อนบ้านแล้วยื่นมือไปขอรับบ้านสุนัขคืนจากเพื่อนบ้านคนใหม่
“ขอโทษแล้วมันช่วยให้ลูกของฉันกลับมาเป็นเหมือนเดิมไหม? เหอะ!”
หมอก ธัชพล โวยวายกลับ แล้วคว้าเอาบ้านสุนัขหลังใหญ่จากแปลงดอกไม้ของตัวเองและเหวี่ยงข้ามรั้วเตี้ยๆ กลับคืนให้เพื่อนบ้านคนใหม่ที่น่าจะไม่ถูกชะตากันตั้งแต่แรกพบ
ถ้าจะพูดขอโทษออกไปก็คงจะไม่ทำให้เพื่อนบ้านยกโทษได้เลย พลัสยิ้มเจื่อนเล็กน้อยก่อนจะคว้าเอาบ้านหลังใหญ่มาตั้งลงกับพื้นที่ว่างใกล้กับประตูกระจกเลื่อนบานใหญ่ และตั้งใจเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงดังกว่าเดิม
“คนเขาอุตส่าห์ขอโทษแล้ว ยังจะใจดำไม่รับคำขอโทษอีก ใจดำ ใจแคบจริงๆ เลย”
คนที่นั่งประคองลูกสาวที่กำลังแรกแย้มได้ยินอย่างนั้นก็รีบลุกพรวดขึ้นแล้วเห็นเจ้าเด็กข้างบ้านกำลังเล่นสนุกกับลูกสุนัขตัวขาวจั๊วะ เห็นท่าทางไม่แยแสของอีกฝ่าย เขาก็ยิ่งโมโหและกำหมัดแน่น
“ก็ลองให้หมาของแกโดนบ้านนั่นทับเหมือนต้นไม้ของฉันบ้าง!!”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับหมาของฉันด้วย!” พลัสสวนกลับทันที โดยไม่ลืมจะอุ้มลูกสุนัขตัวเล็กเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความหวงแหน
“ของใคร ใครก็รักก็หวงทั้งนั้นแหละ!” หมอกพูดแล้วก้มหลงคว้าเอาถุงปุ๋ยคอกขึ้นมา เดินลัดริมรั้วจนถึงบ้านสุนัขหลังใหญ่แล้วจัดการเทปุ๋ยคอกทั้งถุงลงบนหลังคาบ้านหลังใหม่
“กรี๊ด!!!!!”
พลัสกรี๊ดเสียงร้องดังลั่น ผู้ใหญ่ทั้งสองบ้านจึงรีบวิ่งออกมาจากตัวบ้านด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น พลัส?” พิมพ์ แม่ของพลัสวิ่งออกมาหาลูกชายเป็นคนแรก พลัสจึงรีบชี้ไปยังเด็กหนุ่มตัวสูงที่ข้างบ้านที่กำลังพับถุงใส่ปุ๋ยคอกด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ส่วนผู้ใหญ่ของบ้านนั้นก็เดินมาถึงเช่นเดียวกัน
“เสียงอะไรน่ะหมอก?”
หมอกยักไหล่ โดยไม่ให้คำตอบกับพ่อและแม่ ท่านทั้งสองจึงเดินไปชิดริมรั้วบ้านแล้วก็เห็นว่าลูกชายของเพื่อนบ้านครอบครัวใหม่กำลังร้องโวยวายพลางชี้นิ้วมายังลูกชายของตัวเอง มองข้ามไปก็เห็นบ้านสุนัขเปื้อนปุ๋ยคอก หลักฐานก็เป็นถุงปุ๋ยเปล่าในมือของลูกชาย
“ก็มันน่ะ!! มันเทปุ๋ยใส่บ้านของบลู”
พลัสฟ้องแม่ของตัวเอง แล้วชี้นิ้วไปยังหมอกไม่หยุด
พิมพ์เงยหน้ามองเด็กหนุ่มข้างบ้านแล้วก็พบกับผู้ใหญ่ของฝ่ายนั้นเช่นเดียวกัน เลื่อนสายตามองบ้านสุนัขที่ลูกชายอุตส่าห์เก็บเงินซื้อเองก็เห็นว่าหลังคาสีฟ้าของมันเปรอะเปื้อนปุ๋ยคอกและส่งกลิ่นเหม็นหึ่งไปทั่ว
“หมอกไปเทปุ๋ยใส่บ้านคนอื่นทำไม?”
เมื่อเห็นหลักฐานอยู่คาตา ฟ้า แม่ของหมอกก็หันไปเอ็ดลูกชายของตัวเองทันที
หมอกย่นจมูกแล้วชี้นิ้วไปยังแปลงดอกไม้ของตัวเองที่มีร่องรอยการถูกทำลายเป็นวงกว้าง เห็นต้นแอสเตอร์เล็กๆ หักไปเกือบครึ่งแปลงพร้อมอธิบายเสริมว่า “ไอ้เด็กนั่นมันโยนบ้านหมามาทับแปลงดอกไม้ของผม”
“ไม่ได้โยน! แค่สะดุดล้มแล้วลอยข้ามไปเฉยๆ มันเป็นอุบัติเหตุครับ” พลัสแย้งกลับ
“แต่ต้นไม้ของฉันหักเลยนะ!!”
หมอกก็ไม่ยอมแพ้
“ก็มันเป็นอุบัติเหตุ! ฉันไม่ได้ตั้งใจ แล้วฉันก็ขอโทษไปแล้ว”
สิ้นเสียงของพลัส ผู้ใหญ่ทั้งสองก็ต่างจ้องมองมายังเด็กหนุ่มตัวสูงที่แสดงสีหน้าไม่พอใจนิดๆ โดยพร้อมเพรียงกัน หมอกโยนถุงปุ๋ยลงกับพื้นดินแล้วพูดขึ้นว่า “แม่ก็ดู! ดอกไม้ของผมกว่าจะปลูกให้มันโตขึ้นมาได้ ชดใช้ด้วยคำขอโทษแค่นี้ไม่ได้หรอก!”
“หมอก ลูกเป็นคนผิดนะ น้องไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย” ฟ้าตำหนิลูกชาย ดูยังไงดอกไม้พวกนั้นถึงจะหักไปก็ไม่ถึงกับตาย ไม่กี่สัปดาห์ก็จะงอกต้นใหม่ขึ้นมาได้ แต่ลูกชายตัวเองกลับโกรธและเอาปุ๋ยไปราดบ้านสุนัข ก็เหมือนตั้งใจแกล้งเด็กที่ไม่มีทางสู้
หมอกแสดงท่าทางฮึดฮัดแต่ก็ขัดใจแม่ไม่ได้
“พวกเราขอโทษจริงๆ นะครับ เพิ่งย้ายเข้ามาก็สร้างปัญหาให้เพื่อนบ้านแล้ว จะให้พวกเราชดใช้ยังไงก็บอกเลยนะครับ” ต้น ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวและพ่อของพลัสเอ่ยขึ้น
แต่ผู้ใหญ่อีกฝั่งกลับรีบโบกมือเป็นพัลวัน ต่างก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย หมอกก็มีนิสัยใจร้อนแบบนี้อยู่แล้ว ยิ่งกับของที่ตัวเองชื่นชอบก็ยิ่งขาดสติง่าย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พวกเราก็ต้องขอโทษแทนลูกชายด้วย”
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ” หมอกยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่กลับโดนแม่หยิกเข้าที่สีข้างจนเด็กหนุ่มหน้าเหยเก
“แล้วบ้านของบลูล่ะ? จะทำยังไง?” พลัสเหลือบมองเด็กหนุ่มตัวสูงสลับกับบ้านสุนัข ส่งสายตาราวกับจะบอกให้หมอกรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ แต่อีกฝ่ายกลับแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ฟ้าจึงคว้าแขนลูกชายที่กำลังจะเดินหนีและเอ่ยขึ้นว่า “เดี๋ยวน้าจะให้หมอกไปล้างให้สะอาดเลยนะ”
“ไม่ทำ!” หมอกเถียงกลับทันที พลางหันมองเพื่อนบ้านตัวเล็กที่กำลังแสดงสีหน้าราวกับผู้มีชัย เขายิ่งรู้สึกไม่พอใจพลัสขึ้นมาอีกครั้ง
“แกทำ แกก็ต้องรับผิดชอบนะ!”
“แล้วแกจะมาช่วยฉันปลูกต้นไม้ไหม?” หมอกถามกลับ
พลัสก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ เขาไม่ชอบปลูกต้นไม้เลย เป็นพวกมือร้อน เคยปลูกถั่วงอกส่งในวิชาวิทยาศาสตร์ มันยังงอกช้ากว่าเพื่อนในห้องจนถูกล้อไปหลายวัน เป็นความทรงจำที่แย่มากและทำให้พลัสไม่อยากปลูกต้นไม้อีกเลย
เรื่องอะไรจะปลูกต้นไม้ให้มันไม่งอกด้วย?
“ไม่! แต่แกต้องล้างบ้านให้บลู!”
สิ้นเสียงพูดอันเกรี้ยวกราดของพลัส เลือดกำเดาก็ไหลออกมาจากจมูกของคนที่เพิ่งหกล้มหน้าคะมำกับพื้นหญ้า เลือดสีแดงสดไหลออกมาโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ แต่คนที่รายล้อมกลับอึ้งจนเกือบพูดไม่ออก ก่อนจะเบนสายตามายังเด็กหนุ่มตัวสูงที่เป็นคู่กรณี
แม่ของพลัสรีบเช็ดเลือดให้กับลูกชายอย่างตื่นตระหนก
เด็กหนุ่มตัวเล็กจึงรู้ว่ามีของเหลวแปลกปลอมไหลออกมาจากร่างกาย
“อ๊าก! เลือดกำเดาไหลได้ยังไง?” พลัสโวยวายแล้วปัดมือของแม่พร้อมยกแขน และใช้แขนเสื้อซับเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด ดวงตาก็ยังจับจ้องคนตัวสูงที่ยืนอยู่อีกฝั่งของรั้ว
“เอาน้ำแข็งมาประคบดีกว่าครับ” ฟ้าเสนอความเห็น แล้วคุณพ่อของทั้งสองครอบครัวก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านของตัวเองเพื่อหาเครื่องมือปฐมพยาบาล
หมอกหันมองแม่ของตัวเอง และเมื่อตีความจากสายตาคู่นั้น เขาก็รีบยกมือโบกปฏิเสธเป็นพัลวันบอกว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเลือดกำเดาของเพื่อนบ้านคนใหม่เลย แต่ฟ้ากลับส่งสายตาตำหนิมาให้แทน เขาอดทนไม่ไหวและไม่ยอมเป็นฝ่ายที่ถูกป้ายความผิดให้เพียงฝ่ายเดียว
“ผมไม่ได้ทำนะ!!”
หลังจากนั้น ลูกชายของบ้านทั้งสองหลังที่อยู่ติดกันก็แทบจะไม่มองหน้ากันอีกเลย ผิดกับผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่ดูจะสนิทสนมกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วยกันเกือบทุกวัน และเอาเรื่องของลูกชายทั้งสองคนมาปรึกษากันอยู่เป็นประจำ ราวเป็นเรื่องเล่าสนุกสนานประจำอาหารมื้อเย็น
“ดูอย่างหมอก เมื่อเดือนที่แล้วสาวที่ไหนก็ไม่รู้มายัดจดหมายสารภาพรักใส่กระเป๋ามาให้ พอเปิดออกมาอ่านแล้วเจ้าตัวก็ฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วก็เอาไปฝังแทนปุ๋ยในแปลงดอกไม้เลยค่ะ” ฟ้าพูดขึ้นแล้วส่ายศีรษะกับลูกชายที่บ้าปลูกต้นไม้
พลัสระเบิดหัวเราะอ้าปากกว้างจนเห็นลิ้นไก่แล้วใช้ปลายช้อนชี้ไปยังเด็กหนุ่มตัวสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตอนนี้เขารู้แล้วว่าไอ้เด็กตัวสูงโย่งบ้าดอกไม้นี้เป็นรุ่นน้องของเขา ดังนั้นพลัสจึงโยนความสุภาพ ความเกรงใจ และคุณสมบัติของพี่ที่ดีโยนลงถังขยะและตั้งตนเป็นพี่ที่เลวอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
“หยุดหัวเราะได้แล้วไอ้หมาบ้า!” หมอกตวาดแล้วยื่นมือไปตักไก่ทอดในจานข้าวของพลัสมากัดเต็มคำ
“เฮ้ย! ไอ้เด็กบ้า! แกมาแย่งไก่ของฉันได้ไง!” พลัสโวยลั่น ไม่สนใจสายตาตำหนิของคุณแม่เลยแม้แต่น้อย
หมอกส่งสายตาล้อเลียน และย่นจมูกพลางเคี้ยวไก่จนหมดคำแล้วจึงตอบกลับคนที่กำลังแว้ดๆ อยู่
“ทำไม? ฉันจะกิน ก็จะกิน แล้วก็จะแย่งของแกกินด้วย!”
“ฉันเป็นพี่ของแกนะ! ต้องพูดสุภาพกับฉัน!”
ยิ่งได้ยินเด็กหนุ่มตัวสูงหน้ายียวนตอบกลับมา พลัสก็ยิ่งโวยวายและหันหน้าจะไปฟ้องแม่ตัวเอง แต่พิมพ์ก็ส่งสายตาดุกลับคืนมาให้ลูกชายที่เริ่มทำบรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่ำเสีย
พลัสหน้าจ๋อยกลับมานั่งกินข้าวเงียบๆ กลายเป็นหมอกที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแทน
“โอ๊ะ! โอ๊ย…แม่หยิกผมทำไม?”
แต่หัวเราะได้ไม่นาน หมอกก็ต้องร้องลั่นและเบะปากให้กับเล็บของคุณแม่ตัวเองด้วย
“นิสัยไม่ดีนะ หมอก ไปหัวเราะพี่พลัสได้ยังไง?” ฟ้าตำหนิลูกชายที่หาเรื่องพลัสอยู่เสมอ
หมอกเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะตักกระดูกไก่วางไว้ที่จานรองอีกใบ
“เอาไว้ตรงนี้ ฉันอุตส่าห์จะเก็บไก่ทอดให้บลู เหลือแต่กระดูกเลย ชิ!”
พลัสบ่นอุบพลางหยิบจานใบเล็กของตัวเองขึ้นมา และยื่นไปให้หมอก แต่น้องชายที่ตัวสูงกว่ากลับไม่ทำตามที่พี่ชายบอก พลัสจึงยื่นมือไปหยิบกระดูกไก่ในจานของหมอก แต่มันก็ไกลเกินเอื้อม ทำได้แค่เขี่ยกระดูกไก่ คนตัวเล็กนึกขี้เกียจจะยืนขึ้นเหลือบมองหมอกก็เห็นว่าเจ้าเด็กตัวสูงหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“โธ่เอ๊ย! ไอ้เด็กบ้า! หยิบส่งมาให้หน่อยไม่ได้รึไง?” พลัสโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง
แต่หมอกก็ยังไม่ยอมหยิบกระดูกไก่ให้พลัส ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสี่คนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับความน่าเอ็นดูแกมน่ารำคาญของลูกชายทั้งสองคน สุดท้ายก็เป็นฟ้าที่ช่วยหยิบกระดูกไก่ให้พลัสเพื่อสงบศึกบนโต๊ะอาหารอีกวัน
“บลู! มานี่เร็ว!”
เสียงร้องของเพื่อนบ้านตัวเล็กทำให้คนที่กำลังใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้หันมองผ่านซี่ไม้กระดานสีขาวและเห็นพี่ชายข้างบ้านนั่งอยู่บนพื้นสนามหญ้า ข้างกันเป็นถุงอะไรสักอย่าง เจ้าสุนัขตัวขาวขนฟูปีนขึ้นบนตักของพี่ชายตัวเล็ก พลัสกอดฟัดและยังกัดหูลูกสุนัขจนมันร้องหงิงๆ ส่วนเจ้าของที่ตั้งใจแกล้งสัตว์เลี้ยงตัวโปรดก็หัวเราะลั่น
ทำเอาบรรยากาศเงียบสงบของหมอกมลายหายไปจนหมดสิ้น เขาถอนหายใจยาวแล้วกลับมาสนใจต้นไม้เล็กๆ ที่เพิ่งฟื้นจากการโดนบ้านสุนัขทับ เขาใช้ส้อมพรวนดินค่อยๆ พรวนไปรอบแปลงดอกไม้ของตัวเอง
“คุณป๊าซื้อไก่ทอดเจ้าอร่อยมาให้บลูด้วยนะ”
เสียงพลัสดังขึ้นอีกครั้ง หมอกส่ายศีรษะเล็กน้อย เจ้าลูกสุนัขตัวเล็กก็ไม่ได้ส่งเสียงเห่าน่ารำคาญเท่ากับเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของเจ้าของเลย ไหนจะรอยยิ้มกว้างไร้สตินั่นอีก เห็นทีไรก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด
“บ๊อก!”
เจ้าลูกสุนัขตัวเล็กตอบรับอย่างกระตือรือร้น แล้วใช้ขาหน้าตะกุยอกเจ้านาย พลัสจึงหยิบเอาถุงที่อยู่ด้านข้างและเปิดเอากล่องใบเล็กออกมา
“หอมไหม? นี่… คุณป๊าชอบมากๆ เลยนะ” พลัสพูดแล้วยกกล่องไก่ทอดมาดมเต็มปอด หน้าตาบ่งบอกว่ามีความสุขเต็มประดา หน้าตาดูจะมีความสุขกว่าเจ้าบลูที่นั่งกระดิกหางมองเจ้านายเสียอีก
หมอกเห็นปฏิกิริยาของรุ่นพี่ข้างบ้านก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วหันไปล้างมือ
พลัสเปิดกล่องไก่แล้วหยิบเอาไก่ทอดชิ้นใหญ่ออกมากินเต็มปากเต็มคำ เจ้าบลูก็ยืดตัวแล้วกัดกับไก่ทอดชิ้นเดียวกับเจ้านายตัวเอง
“อา.. บลู ให้คุณป๊ากินก่อนนะครับ เดี๋ยวจะแบ่งให้กินนะ” พลัสเคี้ยวไก่ในปากแล้วก็พยายามดึงไก่จากปากของลูกสุนัขตัวเล็กกลับคืน แต่เจ้าบลูก็ไม่ปล่อยเลย พลัสจึงเปิดกล่องเอาไก่อีกชิ้นมากัดอีกคำและกินอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ลูกสุนัขแย่งกินได้ทัน
หมอกล้างมือเสร็จแล้วก็มายืนเท้าคางกับรั้วมองคนตัวเล็กที่แย่งกินไก่กับสัตว์เลี้ยงของตัวเอง
“ตกลงว่าซื้อไก่มากินเองหรือว่าจะให้เจ้าบลูกิน?” หมอกถามออกไป
พลัสที่นอนกลิ้งกับพื้นหญ้าคาบกระดูกไก่เงยหน้ามองหมอกแล้วคายกระดูกไก่ลงกับพื้นหญ้า เจ้าบลูจึงวิ่งมาคาบกระดูกไก่ไปทันที พลัสทำท่าจะโวยกับเจ้าสุนัขตัวเล็กที่ขโมยกินกระดูกไก่ แต่ก็ติดที่เด็กหนุ่มตัวสูงข้างบ้านมองเขาอยู่
หมอกหัวเราะลั่นกับท่าทางอึกอักของพลัส
“ฉันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าไหนคนไหนหมา?”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับแกวะ!” พลัสโวยวายบ้าง อยากจะหาอะไรโยนใส่ดวงตาคมคายที่ฉายแววความเยาะเย้ยเข้าเต็มประดา แต่ก็ไม่มีอะไรใกล้มือเลย ยกเว้นเจ้าบลูที่กินเคี้ยวกระดูกอ่อนกร๊วบๆ อยู่ด้านข้างตัว
ยิ่งเห็นท่าทางของพลัส หมอกก็หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย
พี่ชายตัวเล็กกว่าผุดลุกขึ้น ก้าวเท้ายาวๆ ไปหาคนตัวสูงที่ริมรั้วแล้วยื่นมือที่เปื้อนไก่ทอดตบเข้าข้างแก้มของหมอกเบาๆ
“เฮ้ย! สกปรก!” หมอกรีบปัดมือของพลัสออก
คนตัวเล็กแลบลิ้นล้อเลียนคนที่โดนเขาแกล้งแล้วหันกลับไปหาเจ้าบลูที่ตะกุยขาของเขาอยู่
“คนสกปรกๆ อย่างนายก็เหมาะสมแล้วล่ะ ชิ!”
“ใครสกปรกกัน! นายก็เล่นกับหมาเหมือนกัน ทั้งเชื้อโรคอะไรเยอะแยะไปหมด” หมอกแย้งแล้วเปิดก๊อกน้ำ วักน้ำล้างหน้าให้สะอาดดังเดิม แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อเอาเรื่องกับพี่ชายตัวเล็ก
พลัสไม่ได้สนใจคำบ่นยาวของหมอกและเดินกลับไปนั่งเล่นกับเจ้าบลูจนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยเศษหญ้าเต็มตัวไปหมด
“นี่!”
หมอกตะโกนเรียกร้องความสนใจจากพี่ชายข้างบ้าน แต่พลัสก็ไม่สนใจ อุ้งเท้าเปื้อนดินของเจ้าบลูแปะเหยียบกลางหน้าของพลัส นอกจากเขาจะไม่โกรธ พลัสยังหัวเราะออกมาด้วยความชื่นชอบอีก
หมอกเห็นรอยเปื้อนกลางหน้าผากของพลัสแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ เขาก็เพิ่งเคยเห็นคนที่รักสุนัขมากขนาดนี้
“พลัส!”
“เรียกพี่ซิโว้ย!”
To be continued.