In Our Room (จบ)

ตอนที่ 1

บทที่ 1

ไวท์ช็อกโกแลตที่ปั้นแต่งเป็นตุ๊กตาหมีน่ารักถูกวางลงบนหน้าเค้กเนื้อนุ่มซึ่งได้รับการแต่งแต้มด้วยตัวการ์ตูนช็อกโกแลตหลากสี

เจ้าของใบหน้ากลมมนและเป็นคนรังสรรค์ผลงานศิลปะบนหน้าเค้กคลายริมฝีปากเป็นรอยยิ้มพึงใจ เขาหันไปพยักหน้าให้สัญญาณกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ถือกล้องรออยู่ก่อนแล้ว จากนั้นจึงขยับถอยห่างออกมาเพื่อให้ทีมงานอีกกลุ่มได้ทำหน้าที่ต่อไป

ชายหนุ่มยืนมองแสงไฟสีนวลที่จัดไว้อย่างมืออาชีพ กวาดตามองไปรอบบริเวณก่อนกลับมาที่ช่างภาพที่กำลังกดชัตเตอร์ถ่ายภาพเค้กก้อนสวย ในบางครั้งก็เข้าไปจัดแต่งเพิ่มเติมบ้าง และการทำงานในสตูดิโอเล็ก ๆ แห่งนี้ก็ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งช่างภาพได้ผลงานที่พึงพอใจ เมื่อนั้นงานทุกอย่างจึงเสร็จสิ้นลง

“ขอบคุณคุณซันมากเลยนะคะ”

หญิงสาวที่สวมแว่นกรอบสี่เหลี่ยมรับกับใบหน้าเรียวเดินเข้ามาหา เธอเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ให้เขาผงกศีรษะตอบกลับไปแล้วยกยิ้มเช่นเดียวกัน

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไหน ๆ ก็เป็นญาติของยุทธมันนี่นา ผมเต็มที่อยู่แล้วครับ”

แสงแรกเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง ให้หญิงสาวได้ฉีกยิ้มแก้มปริด้วยความยินดี ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยอะไรหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนหันไปจัดการเก็บข้าวของที่วางไว้ไม่ไกลนัก

ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าเป้มาพาดบ่า หันมองลูกค้าคนสำคัญแล้วเอ่ยขึ้น

“ยังไงผมขออนุญาตกลับเลยนะครับ คงไม่ได้อยู่ทานข้าวกับทีมงานด้วย ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ”

“ถึงจะเสียดายก็เถอะ แต่ก็ขอบคุณคุณซันอีกครั้งนะคะที่มาช่วยเหลือ”

แสงแรกพยักหน้ารับ เอ่ยลาลูกค้าซึ่งเป็นญาติกับเพื่อนสนิทก่อนจะหันไปร่ำลากับทีมงานรอบสตูดิโอ จากนั้นจึงก้าวเท้าออกจากสตูดิโอแล้วมุ่งตรงไปยังริมถนนเพื่อเรียกหาแท็กซี่ ขณะที่ยืนรออยู่นั้น พลันเสียงของยุทธจักรเพื่อนสนิทของเขาก็ดังขึ้น

‘เพื่อนฉันมันจะย้ายเข้าไปอยู่ที่ห้องนายวันนี้นะ อาจจะไปถึงช่วงบ่าย แต่ฉันบอกมันไว้แล้วล่ะว่านายมีงานอาจจะไม่ได้อยู่ต้อนรับ ถ้ายังไงเจอกันแล้วก็ไม่ต้องเกรงใจกันล่ะ มันไม่ใช่คนไม่ดีอะไรหรอกนะ’

ใช่ นั่นคือจุดประสงค์หลักที่เขาต้องขอตัวออกมาก่อนใครเพื่อนอย่างนี้

ถึงแม้เขาจะไม่ได้เต็มใจเท่าไหร่นักที่จะได้แบ่งปันห้องกับใคร แต่ทว่า…เขาก็ปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ ว่าตัวเองก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน!

แสงแรกกลับมาถึงคอนโดฯในตอนเกือบสองทุ่มเข้าไปแล้ว

ในจังหวะการก้าวเดินของเขาเต็มไปด้วยความเร่งร้อน สองมือหอบหิ้วถุงพะรุงพะรัง ตั้งใจซื้อวัตถุดิบเตรียมทำอาหารเพื่อต้อนรับเพื่อนร่วมห้องคนใหม่ที่ป่านนี้คงกำลังวุ่นอยู่กับการจัดข้าวของ

ทว่าเมื่อชายหนุ่มเปิดประตูเข้ามา ภายในห้องกลับโอบล้อมไปด้วยความเงียบงันและมืดมิด ถึงอย่างนั้นเมื่อก้มลงมองที่พื้นหน้าตู้วางรองเท้า เขาก็เห็นรองเท้าผ้าใบไซซ์ใหญ่วางหมิ่นเหม่จนเกือบจะเดินเตะ แสงแรกพ่นลมหายใจ เหลียวมองไปยังประตูห้องที่เคยว่างเปล่าซึ่งตอนนี้ปิดสนิทก็ได้ยักไหล่

คงจะนอนแล้ว ไว้ทักทายกันพรุ่งนี้ก็ได้ล่ะมั้ง

แสงแรกหาวหวอดใหญ่พลางก้าวเดินเข้ามาในห้องนอนของตัวเองเพื่อเก็บกระเป๋า แล้วจึงออกมาอีกครั้งทั้ง ๆ ที่ทั้งห้องยังคงปิดไฟมืดสนิท ตรงไปยังโซนทำครัว วางถุงข้าวของบนเคาน์เตอร์ทำครัว และให้มีเพียงแสงไฟจากตู้เย็นที่เพิ่งเปิดออกเพียงเท่านั้น

มือเรียวหยิบขวดน้ำแล้วก้าวถอยหลัง หากแต่จังหวะนั้นเอง…

“เฮ้ย!”

แผ่นหลังของแสงแรกก็กลับชนเข้ากับอะไรบางอย่างที่ทำให้อุทานเสียงดังด้วยความตกใจ ชายหนุ่มขยับออกห่างแล้วสะบัดหน้าหันมองในทันที ก่อนจะได้ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พึงใจเท่าไรนัก

“โอ๊ะ…โทษทีนะ ไม่เห็นว่ามีคนอยู่ตรงนี้”

เสียงที่แม้จะทุ้มมากเพียงใด หากแสงแรกกลับรู้สึกว่ามันกวนอารมณ์ให้ขุ่นมัวยังไงชอบกล นัยน์ตาคู่กลมจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาเรียวรีที่เป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ให้ได้พ่นหายใจ กลับกลายเป็นไม่รู้ว่าตัวเองควรต่อบทสนทนายังไงกับคนตรงหน้า ริมฝีปากคู่หยักเผยออ้าเพียงเล็กน้อย หลุบดวงตาลงต่ำแล้วเปิดฝาขวดน้ำราวกับไม่มีใครอีกคนอยู่ตรงหน้า

“ขอโทษนะ ตกใจรึเปล่า?”

“ก็ไม่ได้ตกใจมากหรอกครับ” แสงแรกกระตุกยิ้มมุมปาก ยกขวดน้ำขึ้นดื่มขณะที่นัยน์ตายังสบกับดวงตาของอีกฝ่าย “คุณคงจะเป็นคุณภูฟ้า” เขาเปรยว่าอย่างนั้น และก็ได้รับการยืนยันเป็นการยักคิ้วส่งมาทั้งที่ยังยกยิ้ม นั่นน่ะทำให้หัวคิ้วของแสงแรกกระตุกอย่างช่วยไม่ได้

ชายหนุ่มเดินผ่านอีกคนไปโดยไม่เอ่ยอะไร หมุนสวิตช์ให้ไฟสีส้มอ่อนตรงโซนทำครัวสว่างขึ้น นั่นเองจึงทำให้เขาได้พิจารณาเพื่อนร่วมห้องคนใหม่อย่างชัดเจน

ภูฟ้าเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง หากจะให้เดาจากการประมาณตามความสูงของแสงแรกแล้ว เขาคิดว่าผู้ชายคนนี้คงจะสูงสักหนึ่งร้อยแปดสิบสามเซนติเมตรรูปหน้าเรียวดูคมคายจากสันกรามได้รูป ไม่ว่าจะเป็นเรียวคิ้ว ดวงตาเรียวรีสีน้ำตาลเข้ม สันจมูกโด่ง แล้วก็ริมฝีปากหยักบาง อ้อ…ผมตัดสั้นเส้นดำสนิทนั่นก็ด้วย องค์ประกอบรวมทั้งหมดดูหล่อเหลาเอาการเลยล่ะ

แต่…แสงแรกกลับรู้สึกได้ว่าไม่ชอบขี้หน้าสักเท่าไหร่

“ขอโทษนะครับที่ผมมาช่วยคุณย้ายของเข้าไม่ทัน”

“ยุทธบอกไว้เหมือนกันว่าคุณอาจจะกลับมาไม่ทัน แต่ไม่เป็นไรครับ อย่าคิดมากเลย”

ท่าทางที่ไม่ถือสาหาความกันอย่างนี้ บางทีถ้าเป็นคนอื่นแสงแรกอาจจะรู้สึกสบายใจมากกว่านี้ก็ได้ แต่พอเป็นภูฟ้าขึ้นมา เขากลับรู้สึกหมั่นไส้อย่างบอกไม่ถูก

ไม่มีบทสนทนาต่อกันหลังจากนั้น แสงแรกหันไปสนใจกับการเก็บวัตถุดิบเข้าตู้เย็นตามความตั้งใจแรก ทว่าขณะที่กำลังนั่งยอง ๆ อยู่หน้าตู้เย็น บางกลิ่นที่ชักชวนให้แสบจมูกกะทันหันก็ลอยโชยแตะความสนใจเขาเข้าอย่างจัง แน่นอนว่ามันรวมถึงความไม่พอใจด้วยสิ

“เออ คุณภูฟ้าครับ ถ้าจะสูบบุหรี่ เชิญที่ระเบียงนะ พอดีผมไม่ถูกกับกลิ่นบุหรี่เท่าไหร่”

เท่านั้นภูฟ้าก็ก้าวเดินออกมายังระเบียงในทันที ชายหนุ่มสูบบุหรี่อย่างไม่เร่งร้อน พิงสะโพกกับกรอบระเบียงพลางทอดสายตามองเข้าไปด้านใน จ้องมองคนที่กำลังวุ่นกับการลำเลียงจัดของในตู้เย็นโดยที่ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าถูกเขามองอยู่

จะว่าไป เพื่อนของยุทธจักรก็…น่ารักดี

รูปหน้าของแสงแรกค่อนไปทางกลมมนมากกว่าที่ภูฟ้าเคยคิดไว้ ถึงอย่างนั้นผิวขาวดูสุขภาพดีก็ขับรับกับเส้นผมสีดำสนิทดีเหมือนกัน ไหนจะดวงตากลม ๆที่เป็นประกายตลอดเวลา ริมฝีปากหยักสีกุหลาบที่ดูอิ่มเอิบ แล้วยังส่วนสูงที่สูงน้อยกว่าเขาอีกตั้งมาก…เดา ๆ แล้วคงไม่เกินหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าหรอก ภูฟ้ามั่นใจ

อืม ก็น่ารักจริง ๆ นั่นแหละ

“กินข้าวเย็นรึยังครับ? ให้ผมทำอะไรให้คุณกินไหม?”

แสงแรกเดินออกมาหา ไม่สิ ก็แค่ยืนอยู่ด้านใน ชายหนุ่มผลักบานกระจกหน้าต่างออกเพียงน้อยนิดเพื่อไถ่ถาม และภูฟ้าก็คงไม่ปฏิเสธอะไร เขายอมรับว่าตอนนี้เขาค่อนข้างหิวมาก แถมยังอยากจะลองทดสอบดูสักหน่อยว่าคนที่มีอาชีพเป็นฟู้ดสไตล์ลิสต์อย่างแสงแรกน่ะจะทำอาหารได้ดีแค่ไหน

“เอาสิครับ ผมกำลังหิวเหมือนกัน”

ภูฟ้าคลายยิ้ม แต่มันกลับเป็นยิ้มที่ทำให้แสงแรกกระตุกมุมปากแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับเดินเข้าครัวไป ทิ้งเอาไว้ให้ชายหนุ่มได้ยืนสูบบุหรี่ต่อ หากก็ไม่ลืมที่จะจดจ้องการเคลื่อนไหวของแสงแรกอย่างเงียบเชียบอยู่คนเดียว

สายตาเขาที่มองไม่มีคลาดคงทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว ดังนั้นเมื่อแสงแรกจัดอาหารลงจานเรียบร้อยแล้ว สายตาที่มองมาถึงมีแต่ความไม่ไว้วางใจกันอย่างเปิดเผยให้ชายหนุ่มได้ยกยิ้ม ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้พลางทอดมองจานอาหารที่เจ้าของห้องเป็นคนทำให้มื้อแรกสำหรับการต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน

“หอมมากเลยครับ”

ภูฟ้าว่าอย่างนั้น แต่คำชมกลับทำให้พ่อครัวจำเป็นชะงักไปอึดใจหนึ่ง หากแต่เมื่อมองสบตาแล้วไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความจริงใจ แสงแรกจึงยกยิ้มขึ้นนิดๆ แล้วเดินไปยังตู้เย็น หยิบเอาแก้วกับขวดน้ำเย็นมาวางลง “เมนูง่าย ๆ หน่อยนะครับ พอดีช่วงนี้งานยุ่ง ผมไม่ได้ซื้อของติดตู้เย็นไว้เลย”

“หมายความว่า ในตู้เย็นตอนนี้มีแต่ของเก่าเหรอครับ”

หือ…แสงแรกหรี่เรียวตาลงเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็ครุ่นคิดไปว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นหมายความว่าอย่างไร สุดท้ายจึงตอบกลับไปอย่างไม่ยี่หระ และรวมถึงพร้อมจะทำตามอย่างที่พูดจริง ๆ เสียด้วย

“ถ้ารังเกียจของเก่าก็วางช้อนส้อมลงได้นะครับ เดี๋ยวผมจะเก็บไว้กินคนเดียวเอง”

ก็บ้าแล้ว…ภูฟ้าหลุบตาลงมองสปาเกตตีคาโบนาร่าในจานแล้วก็แทบจะส่ายหน้าหวือ กลิ่นของมันหอมยวนใจเขาขนาดนี้แล้ว มีหรือจะปล่อยทิ้งได้ และเขาก็มั่นใจมากด้วยว่าหากเอ่ยคำกวนใจเจ้าของห้องอีกสักหนึ่งประโยค อาหารในจานคงอันตรธานไปอย่างรวดเร็วชนิดที่ตั้งตัวไม่ทันแน่

ดังนั้นชายหนุ่มจึงเพียงแต่ยกยิ้ม ม้วนเส้นสีเหลืองนวลแล้วส่งเข้าปาก ส่งเสียงในลำคอแล้วยกนิ้วโป้งขึ้นแทนคำชม

แต่ดูแล้วคนมองไม่ได้ภูมิใจเท่าไรนัก แสงแรกง่วงมากกว่าจะยินดี ดังนั้นเขาจึงทำเพียงยกยิ้มนิด ๆ แล้วเริ่มลงมือกินบ้าง โดยที่หลังจากนั้นระหว่างมื้ออาหารไม่มีบทสนทนาใดต่อกันอีกเลย…ซึ่งมันไม่เกิดขึ้นก็เพราะแสงแรกที่เอาแต่เงียบแล้วกินอาหารฝีมือตัวเองอย่างรีบร้อนเท่านั้น

ภูฟ้าไม่ทันได้เอ่ยขอบคุณหลังจบมื้ออาหาร แสงแรกก็ออกปากไหว้วานให้เขาเป็นคนเก็บล้าง ส่วนตัวเองก็ลุกเข้าห้องไปเสียดื้อ ๆ ให้คนได้รับการไหว้วานนั่งนิ่งอยู่อึดใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วลุกขึ้นยืนเพื่อทำตามในส่วนที่เจ้าของห้องต้องการ

แม้ว่าการล้างจานจะไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้ในหัวเลยสักนิด ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังยิ้ม ด้วยนับว่าเหตุการณ์เล็ก ๆ นี้เป็นความประทับใจแรกที่เขาได้รับจากเจ้าของห้องก็แล้วกัน!

ภูฟ้านั่งเท้าคางมองคนที่ช่างเจื้อยแจ้วตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์

ทุกคำพูดของแสงแรกเข้าหูของเขาและไม่ได้ทะลุไปไหน เพียงแต่ความสนใจของชายหนุ่มไม่ได้อยู่ที่ถ้อยคำเหล่านั้น แต่กลับเป็นริมฝีปากอิ่มแน่นน่าฟัดนั่นต่างหากที่ทำให้เขายังทนนั่งฟังเรื่องไร้สาระจากแสงแรกอยู่ได้เป็นนานสองนาน

เรื่องไร้สาระคืออะไรน่ะเหรอ?

อยู่ ๆ เจ้าตัวก็เดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้ายุ่งเหยิงที่บ่งบอกว่าอารมณ์ไม่ดีสุดขีด เพราะอย่างนั้นแล้วภูฟ้าที่กำลังนั่งทอดน่องสูบบุหรี่ที่โต๊ะใหญ่กลางห้องจึงเป็นอันต้องดับความเอื่อยเฉื่อยไม่รีบเร่งยามเช้าไป แสงแรกเปิดหน้าต่างและประตูระเบียงออกกว้าง แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารังเกียจกลิ่นบุหรี่อันแสนจะเย็นซ่านของเขา

แสงแรกดูเหมือนจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเมื่อทิ้งกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่ตรงข้ามกับเขาแล้ว ภูฟ้าเห็นว่าอีกฝ่ายสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ จากนั้น…แสงแรกก็เปิดฉากเจรจาขึ้นมา

ใช่ เจรจา ว่าด้วยการอยู่ร่วมกันอย่างสันติยังไงล่ะ

“คุณภูฟ้า ฟังอยู่รึเปล่า?”

“อ้อ…ครับ ฟังอยู่”

ตอบรับส่ง ๆ ไปอย่างนั้น จะว่าโกหกก็ไม่เชิง เขาฟังก็จริง แต่ไม่ได้คิดจะจดจำกฎที่แสงแรกสร้างขึ้นเมื่อครู่ที่ผ่านมาเท่าไหร่หรอก ชายหนุ่มโปรยยิ้มให้คนที่ยังนั่งขมวดคิ้วไม่พอใจ ใช้ความหน้าทนเข้าใส่ให้คนตัวเล็กกว่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

“ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นคนยังไง แต่ถ้าคิดจะอยู่ด้วยกันก็ต้องทำตามกฎบ้างนะครับ ไม่ใช่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ แบบนั้นผมที่เป็นเจ้าบ้านน่ะไม่-โอ-เค”

เน้นย้ำชัดเจนขนาดนั้น แล้วภูฟ้าจะตอบอะไรได้เล่านอกจาก “เข้าใจแล้วครับ”

“แต่คุณก็เหมือนกัน ถ้าผมทำอะไรให้คุณไม่ชอบใจหรือมีเรื่องอะไรที่ผมไม่ควรยุ่งคุณก็บอกผมได้ ผมไม่อยากให้คุณไม่สบายใจหรอกนะครับ” อืม…อยากถามว่าจะจบได้หรือยังไอ้เรื่องพวกนี้เนี่ย “แล้วก็อีกอย่าง ข้าวของของผม ผมวางมันไว้ตรงไหนก็ช่วยกรุณาอย่าโยกย้ายด้วย ผมไม่ชอบ—”

“ฮัลโหล ๆ ซันอยู่รึเปล่าครับ?”

อยู่ ๆ ภูฟ้าก็ขัดขึ้น เป็นเหตุให้คนที่มีชื่อเล่นว่าซันอย่างแสงแรกชะงักไปในทันที ชายหนุ่มส่งเสียง “เหอ?” ด้วยความงุนงง ให้ภูฟ้ายักคิ้วก่อนคว้าซองบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะมาไว้กับมือ ออกแรงเคาะเบา ๆ ให้บุหรี่มวนใหม่ออกมานอนนิ่งอยู่ระหว่างเรียวนิ้วยาวของเขา

“คือเท่าที่ผมคุยกับไอ้ยุทธมา ผมได้ยินมาว่าคุณซันเนี่ยเป็นคนที่น่ารักมาก ๆ ว่านอนสอนง่าย ไม่ขี้เหวี่ยงขี้วีน แถมยังเป็นมิตรกับคนรอบข้างด้วยน่ะครับ” ริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้น “แต่ดูเหมือนคนที่อยู่ตรงหน้าผมจะไม่เหมือนที่ไอ้ยุทธมันพูดมาสักเท่าไหร่ ก็เลยสงสัย…ว่าคุณใช่คุณซันแน่รึเปล่า ประมาณนั้นแหละครับ”

ว่าเพียงเท่านั้นก็กระตุกยิ้มให้คนที่นั่งเม้มปากแน่น แต่ภูฟ้าไม่สนใจหรอก เขาพอแล้วกับการที่ต้องนั่งฟังแสงแรกบ่นไปเรื่อยไม่ยอมหยุดอย่างนี้ ชายหนุ่มเริ่มต้นกลั่นแกล้งเจ้าของบ้านด้วยการคาบบุหรี่ไว้กับมือ หมุนไฟแช็กที่อยู่บนโต๊ะเล่นหนหนึ่งก่อนจะยกขึ้น ทำทีเป็นจุดไฟเตรียมจ่อกับปลายมวน หากก็หยุดไว้เพียงเท่านั้นเมื่อเห็นดวงตาคู่กลมหรี่เรียว

ริมฝีปากอิ่มเอิบนั่นไม่สมควรที่จะเม้มแน่นจนมองไม่เห็นเลย เพราะอย่างนั้นแล้วภูฟ้าก็เลยครุ่นคิดวินาทีหนึ่ง เอ่ยถ้อยคำ…ที่ทำให้ริมฝีปากนั่นแยกออกจากกันในทันที

“ไม่ไปเรียนเหรอครับวันนี้?”

ริมฝีปากอิ่มเผยออ้า สีหน้างุนงงดูจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู “ใครไปเรียนนะครับ?”

“ก็น้องซันไง วันนี้ไม่มีเรียนเหรอครับ เห็นยังไม่อาบน้ำแต่งตัว เดี๋ยวจะไปเรียนสายเอานะ”

“บ้าไปแล้วใช่ไหม ผมอายุเท่ากับคุณ ผมวัยทำงานแล้วคุณภูฟ้า อย่ามาหาเรื่องกวนอารมณ์ผมอย่างนี้นะ”

แสงแรกกัดฟัน เอ่ยคำลอดไรฟันและจ้องมองอีกฝ่ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ หากปฏิกิริยาอย่างนั้นเองที่ทำให้ภูฟ้ายกยิ้มจนเรียวตาแทบปิด เอียงศีรษะหน่อย ๆ ราวกับไร้เดียงสา ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วก็รู้อยู่แก่ใจนั่นแหละว่ากำลังกวนประสาทอีกฝ่ายอย่างร้ายกาจ

และหากว่าไม่มีเสียงโทรศัพท์ดังมาจากในห้องนอนของแสงแรกเสียก่อน ภูฟ้าคิดว่าบางทีเขาอาจจะโดนพ่อเสือจอมโมโหร้ายขย้ำเอาอีกไม่กี่วินาทีนี้แหละ

“คุณมาอาศัยอยู่กับผมน่ะ อย่าหาเรื่องกวนผมดีกว่า คุณ-ภู-ฟ้า”

แสงแรกทิ้งท้ายก่อนหยัดกายขึ้นยืน ใบหน้ายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่านใจ ต่างจากภูฟ้าที่ยังฉีกยิ้มหน้าระรื่นไม่รู้สึกรู้สา ให้เจ้าของบ้านได้เม้มริมฝีปากแน่นอย่างเหลืออด ชายหนุ่มกลอกตาขึ้นมองเพดาน พ่นลมหายใจอย่างยากจะอธิบายถึงระดับความหงุดหงิดก่อนจะก้าวเท้าฉับเข้าห้องนอน

เสียงประตูปิดดังลั่นห้อง หากภูฟ้าที่นั่งเท้าคางอยู่ก็กลับหัวเราะแผ่วต่ำในลำคอ ก่อนจะระบายลมหายใจยาวแล้วทอดสายตามองออกไปยังผืนฟ้าที่มีแสงแดดอ่อนของยามเช้า

อืม…การย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

นั่นก็เพราะเจ้าของห้องอย่างแสงแรกทำให้เขาประทับใจและเอ็นดูได้ตลอดเวลาเลยจริง ๆ

To be continued.

สามารถติดตามอ่านเนื้อหาทั้งหมดได้ในแอป