ชวาลาซ่อนเงา (จบ)

ตอนที่ 1

บทที่ 1

 

 

 

นันทวิชญ์ไม่คิดว่าช่วงเวลาพักร้อนของเขาจะจบลงเร็วขนาดนี้

ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกหนึ่งขณะเสยผมอย่างลวก ๆ นัยน์ตาเรียวคมจับจ้องไปยังร่างสันทัดที่นอนคว่ำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรงบนโซฟาเบดในห้องนั่งเล่นของบ้าน แสงสลัวจากโคมไฟดีไซน์สวยตัวยาวสาดกระทบให้เห็นถึงเส้นผมยุ่งเหยิง ให้ได้รู้ว่าคนที่ถือวิสาสะเข้ามาพักพิงในบ้านของเขาไม่คิดจะรู้สึกรู้สากับเสียงประตูที่เปิดปิด หรือกระทั่งการเคลื่อนไหวของนันทวิชญ์ที่ตอนนี้ทิ้งกายลงบนเก้าอี้เหล็กสีดำซึ่งอยู่ใกล้กับโซฟาเบดนั่นล่ะ

อีกพักหนึ่งตัวการที่ทำให้เขาต้องชะงักวันพักร้อนถึงขยับตัวโงหัวขึ้นมา ดวงตากลมโตแวววาว หากกลับไม่ใช่เพราะเพิ่งตื่นนอน แต่เป็นฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่คละคลุ้งไปทุกอณูร่างกายนั่นต่างหาก

“มาเมื่อไหร่” นันทวิชญ์ถามเสียงเรียบ ให้คนที่เงยหน้ามามองกันอ้าปากค้าง ก่อนจะกลับไปนอนเอาแก้มติดหมอนอิงดังเดิม

อีกครู่ถึงได้ยินเสียงตอบกลับมา “เมื่อคืน”

“เมื่อคืน…” นันทวิชญ์เอ่ยย้ำ เสียงติดระอาใจขึ้นมาบ้างแล้ว แน่ล่ะ ถ้าเป็นเมื่อคืนก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะคิรากร ชายหนุ่มที่นอนซังกะตายอยู่ตรงหน้าโทรศัพท์มาหาเขาซึ่งอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ไม่พูดอะไรนอกจากถอนหายใจให้เขาฟังอยู่สามเฮือก แล้วตบท้ายด้วยประโยคบอกเล่าว่า ‘เรานอนบ้านนายนะ’ แล้ววางสายไป

นั่นทำให้เขาตัดสินใจทิ้งวันลาพักร้อนที่ยังคงเหลืออีกสิบวันกลับมาผจญความวุ่นวายในเมืองหลวงอีกครั้ง

ถ้าเพียงแต่คิรากรจะพูดอะไรสักนิด เขาคงไม่ร้อนรนด้วยใจที่เป็นห่วงจนต้องกลับมาอย่างนี้

“ได้ไปทำงานรึเปล่า”

“ไปดิ ไม่ไปได้ไง” คิรากรหัวเราะเบา ๆ แล้วขยับตัวนอนตะแคงหันหน้ามาหา ริมฝีปากรูปหัวใจวาดเป็นรอยยิ้มอ่อนแรง “ไปแล้วก็กลับมานอนบ้านนาย ก็แค่ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียวน่ะ”

“ใคร”

คำถามห้วนสั้นทำคิรากรขมวดคิ้ว เม้มปากชั่งใจขณะสบสายตาอย่างเข้าใจในความหมาย สุดท้ายถึงยอมปริปากตอบ “มัน”

“หายไปอีกแล้วเหรอ”

“หายไปน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ติดต่อไม่ได้เนี่ยสิ…”

ฟังแล้วนันทวิชญ์ก็ระบายลมหายใจ เอื้อมหยิบกระป๋องเบียร์ที่แช่เย็นในกระติกน้ำแข็งบนโต๊ะกลางมาเปิดออก ยกจิบไปอึกหนึ่ง พิจารณาแล้วว่าเพื่อนสนิทคนนี้คงไม่ได้อยู่ในสภาวะอารมณ์ที่ย่ำแย่เกินไปจึงพูดขึ้น

“ปกติจรัลก็เป็นอย่างนี้นี่”

“ใช่ แล้วก็เป็นเราที่คอยเป็นห่วงมันฝ่ายเดียวมาตลอด – ปกติเราก็เป็นอย่างนี้นี่ ใช่ไหมแบงค์”

นันทวิชญ์จุดยิ้มเรียบ ส่งกระป๋องเบียร์ไปชนกับกระป๋องเบียร์ของคิรากรที่ตอนนี้ลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวหัวเราะ คว้ากระป๋องที่มีเครื่องดื่มมึนเมาเหลือไม่ถึงครึ่งขึ้นดื่ม

“เราแค่ไม่อยากอยู่คนเดียว ขอโทษนะ”

แล้วเขาจะทำอะไรได้นอกจากส่ายหน้าเนือย นั่งดื่มกับคิรากรอีกพักหนึ่ง จนเห็นว่าอีกฝ่ายง่วงนอนมากแล้วก็ส่งเข้าห้องนอนเล็กที่อยู่อีกฟากหนึ่งของบ้านก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง กวาดกระป๋องเบียร์ลงถุงดำ หากวินาทีที่สายตามองไปยังโซฟาเบดที่มีร่องรอยของคิรากรทิ้งไว้ ชายหนุ่มจึงหยุดการกระทำแล้วจมลงสู่ภวังค์

คนที่คิรากรเอ่ยถึงและเป็นเหตุให้ต้องระหกระเหินมาถึงที่นี่คือจรัลรมย์ เพื่อนร่วมกลุ่มที่หากจะว่ากันตามตรงแล้วค่อนไปทางสันโดษยิ่งกว่าใคร ชายหนุ่มชอบเดินป่า และในความชอบนั้นเองที่ทำให้มีปัญหากวนใจคิรากรอยู่เรื่อย

พอคิดถึงตรงนี้…นันทวิชญ์ก็ได้แต่ขยับยิ้มไร้ความหมายท่ามกลางความเงียบ คิรากรห่วงใยจรัลรมย์เสมอ แต่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่รับรู้ถึงความห่วงใยนั้นกลายเป็นนันทวิชญ์เสียอีกที่ไม่ได้อยากรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของเพื่อนทั้งสองที่ค่อนข้างซับซ้อน

เพราะหากคิรากรห่วงใยจรัลรมย์อย่างไร เขาเองก็…

แว่วเสียงตึงตังดังมาจากฝั่งของห้องนอนเล็ก คราวแรกนันทวิชญ์คิดว่าเพื่อนคงลุกออกมาด้านนอก ทว่าเมื่อเหลียวมองตรงไปกลับไม่พบอะไร มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

อาจหูแว่วไป นันทวิชญ์คิดอย่างนั้น ชายหนุ่มทอดลมหายใจยาว หยัดกายขึ้นยืนก่อนก้าวไปยังห้องครัวที่อยู่ถัดจากห้องนั่งเล่น จากนั้นก็วกกลับมา ปิดโคมไฟให้ทั้งห้องกว้างมีเพียงแสงจันทร์สาดทอกระทบจึงเดินต่อไปยังห้องนอน

ตุบ!

เสียงของตกทำนันทวิชญ์ที่กำลังถอดเสื้อชะงัก เขาขมวดคิ้ว ทิ้งเสื้อกลับลงตัวตามเดิมแล้วก้าวเท้าออกมาด้านนอก กวาดสายตาไปทั่วห้องนั่งเล่นซึ่งเขามั่นใจว่าเสียงดังมาจากห้องนี้ ก่อนจะพบเข้ากับกรอบรูปที่คว่ำตัวอยู่บนพื้นใกล้กับตู้ลิ้นชักที่มีกรอบรูปวางเรียงหลายกรอบ

“ดิน?”

นันทวิชญ์ส่งเสียง หากเมื่อได้รับเพียงความเงียบงันจึงค้อมกายลงหยิบกรอบรูปกลับมาวางไว้ที่เดิม มันเป็นกรอบรูปที่มีเขากับเพื่อนอีกสี่คนถ่ายร่วมกัน

หากที่น่าแปลกใจคือ กรอบรูปตกไปที่พื้นได้อย่างไร

“แบงค์?”

เสียงทุ้มงัวเงียดังแว่วมา ให้ชายหนุ่มละสายตาจากกรอบรูปไปยังต้นเสียง เห็นแล้วว่าคิรากรกำลังเดินตรงมาหาด้วยสีหน้างุนงงจึงทำนิ่งเสีย รอกระทั่งเพื่อนมาหยุดอยู่ตรงกรอบโค้งมนซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องรับประทานอาหารค่อยถามออกไป

“ยังไม่นอนอีก”

“ลุกมาเข้าห้องน้ำ เห็นเงาตะคุ่ม ๆ เลยเดินมาดู…ไอ้เราก็ตกใจหมด”

คำบอกของคิรากรทำเขาจุดยิ้ม ยืนส่งจนเพื่อนเข้าห้องน้ำถึงกลับมากวาดตามองไปรอบบริเวณอีกครั้ง และนันทวิชญ์แน่ใจว่าบ้านหลังเล็กทรงตัวแอลของเขาไม่มีสัตว์ใดที่รุกล้ำเข้ามาได้ ซ้ำลมที่พัดเอื่อยด้านนอกก็ไม่มีหวังที่จะแทรกตัวเข้ามาโบกโบยด้านใน เพราะชายหนุ่มปิดประตูบานเลื่อนบานใหญ่รอบทิศเรียบร้อยแล้ว

แล้วอะไร…ที่ทำให้กรอบรูปซึ่งไม่ได้วางหมิ่นเหม่กับขอบตู้ลิ้นชักตกลงมา

“ยังไม่เข้าห้องอีก”

นันทวิชญ์ส่งเสียงในลำคอตอบรับไป พยักหน้าน้อย ๆ ให้เพื่อนที่ออกมาจากห้องน้ำด้วยดวงตาที่แทบปิด “กำลังจะเข้าแล้ว รอส่งนายนั่นล่ะ เดินไหวรึเปล่า”

“ไหวดิ” คิรากรยิ้มแทนคำขอบคุณ ออกปากเสียงเบาว่าจะเดินกลับห้องเองไม่ได้เมามายเดินไม่ไหว แล้วก็หมุนตัวก้าวเท้าเดินห่างจากเขาไปทุกที

หากจังหวะหนึ่งที่ใกล้จะถึงห้องนอนเล็ก คิรากรที่คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ก็หมุนตัวกลับมาอีกครั้ง เอ่ยถามแกมบ่นไม่จริงจัง “หนาว ๆ ว่ะ นายเร่งแอร์รึเปล่าวะแบงค์”

วูบนั้น นันทวิชซ์รู้สึกเย็นวาบที่ต้นคอ เป็นไอเย็นที่คล้ายส่งตรงจากเครื่องปรับอากาศที่ตอนนี้เขายังไม่ได้เปิดใช้งาน มีเพียงอากาศธรรมชาติที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าหนาวเย็นแม้เพียงนิด

และใช่ เขาปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ ว่าความหนาววูบนั้นกำลังแทรกซึมถึงอณูความรู้สึก

หากนันทวิชญ์ก็ยังระบายลมหายใจยาว ออกปากบอกเพื่อนไปว่า “จะปรับแอร์ให้แล้วกัน” มองส่งจนกระทั่งคิรากรหายลับไปหลังบานประตู ปล่อยทิ้งเพียงความเงียบงันไว้หลังจากนั้น พร้อมรอยครุ่นคิดถึงอุณหภูมิแปลกประหลาดชั่วพริบตานั้นยามกลับเข้าห้องอีกครั้ง

นันทวิชญ์ไม่เคยเจอ – หากจะบอกว่าไอเย็นเมื่อครู่เกิดจากอะไรก็ตามที่ไร้ตัวตน อันอาจเป็นต้นเหตุของกรอบรูปที่ตกคว่ำบนพื้น เขาไม่เคยเชื่อ ทว่าไม่ลบหลู่เช่นกัน

บางทีอาจจะมีเหตุผลกลใดที่มากกว่านั้น

แต่สิ่งที่เขาเชื่ออย่างสนิทใจคือเมื่อล้มตัวหลับตานอน ยามอรุณรุ่งพรุ่งนี้…เขาจะไม่คิดถึงมัน

 

 

 

‘Nanda Home & Design’ คือบ้านใหญ่สองชั้นที่ถูกนำมาดัดแปลงให้เป็นโฮมออฟฟิศของบริษัทรับออกแบบสร้างบ้านซึ่งมีนันทวิชญ์เป็นผู้ก่อตั้ง แม้ถนนที่ใช้สัญจรด้านนอกจะคราคร่ำไปด้วยรถรา แต่เมื่อเดินทางผ่านซอยเล็ก ๆ มาสองแยกก็จะเจอกับความสงบร่มรื่นของสองข้างทางอย่างน่าประหลาดใจนันทวิชญ์จำได้ดีว่าครั้งหนึ่งที่เขาขับรถหลงทางมาเจอนั้นถูกใจเส้นทางและรอบอาณาบริเวณมากเพียงใด โชคดีที่ที่ดินพร้อมบ้านตรงนี้ติดป้ายประกาศขายเขาถึงไม่รอช้าที่จะติดต่อซื้อขายกับเจ้าของเดิมหลังจากนั้น และแม้จะเปิดบริษัทมาก็เข้าปีที่เจ็ดแล้ว ความรู้สึกเหล่านั้นยังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

ชายหนุ่มเลี้ยวอีโคคาร์สีน้ำตาล เกรยิช บรอนซ์เข้าสู่เขตพื้นที่บริษัทในช่วงบ่าย จอดมันใต้หลังคาโรงรถที่มีรถคันใหญ่อยู่ไม่กี่คัน ส่วนกลุ่มจักรยานยนต์จะจอดกันใต้ต้นสารภีซึ่งอยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวเดิน เขาก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือเพราะได้ยินเสียงเฮฮาดังมาจากด้านใน เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ เมื่อพบว่าตอนนี้ได้ผ่านเวลาพักกลางวันมาร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว

หากกลิ่นที่ลอยมาแตะจมูกเขาในทันทีที่ก้าวสู่เขตร่มเย็นก็ทำให้คลายความสงสัย ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้องโถงซึ่งเป็นจุดต้อนรับลูกค้า พยักหน้าให้พนักงานสาวที่ประจำตำแหน่งประชาสัมพันธ์ซึ่งยกมือไหว้กันทันทีที่เห็นหน้า นันทวิชญ์ก้าวตรงไปหา ออกปากถามพร้อมใบหน้าที่จุดยิ้มเพียงนิด…นิดจนเธอแทบมองไม่เห็น

“ไม่เข้าไปกินกับเขาเหรอครับคุณแนน”

นันทิดายิ้มแห้ง ตอบกลับเสียงเกรงใจ “แนนเรียบร้อยแล้วค่ะคุณแบงค์ เลยเวลาพักเที่ยงแล้วด้วย เดี๋ยวไม่มีใครเฝ้าหน้าบ้านค่ะ”

ถึงแม้ตามปกติลูกค้าส่วนใหญ่ของ Nanda Home & Design จะติดต่อเข้ามาผ่านช่องทางต่าง ๆ มากกว่าเดินทางมาที่นี่โดยตรง แต่นันทวิชญ์ก็ยังให้มีแผนกต้อนรับเตรียมการไว้ ซึ่งแผนกนี้จะต้องศึกษาและรู้รายละเอียดงานเพื่อบอกกล่าวต่อผู้ที่ติดต่อเข้ามาผ่านโทรศัพท์ได้ นันทิดาทำหน้าที่นี้ได้ดีมาสามปีแล้ว และเขาไม่เห็นเหตุอะไรที่เธอจะต้องกังวล

“อิ่มไหมครับ เข้าไปต่อก็ได้นะ”

“อิ่มมากค่ะคุณแบงค์ ขอบคุณนะคะ”

เธอยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม ให้เจ้าของบริษัทพยักหน้า ออกปากขอตัวแล้วเดินผ่านห้องรับรองแขกมาทางด้านขวาของตัวบ้านที่ใช้เป็นห้องประชุมใหญ่

ที่มาของกลิ่นแตะจมูกอยู่ในนั้น และทันทีที่นันทวิชญ์เปิดประตูออกกว้าง กลิ่นอันหอมยวนใจก็ทักทายกันชนิดที่หากไม่ทันเตรียมตัวคงมีสำลักอากาศไปสักที

หลายคนหันมามองเขา ต่างนิ่งกันไปอึดใจก่อนจะยกมือไหว้แทบพร้อมกัน นันทวิชญ์กวาดตามองสิ่งของเครื่องครัวที่อยู่บนโต๊ะประชุมแล้วให้ถอนหายใจเพราะกลิ่นที่เขาสัมผัสถึงคือกลิ่นหมูย่าง…แต่ก็ไม่คิดว่าบรรดาลูกน้องในปกครองจะตั้งเตาย่างหมูกระทะกันอยู่จริง ๆ

ให้ตาย แล้วนั่นหม้อต้มสุกี้!

“อ้าว เฮียแบงค์มาไงครับเนี่ย ขอทางหน่อยครับ เดี๋ยวหมูตก”

เสียงของวิโรจน์ มัณฑนากรหนุ่มบอกกล่าวเขาด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ ให้ขยับเท้าออกพ้นจากกรอบประตู ซ้ำยังต้องเอื้อมมือไปยกถาดหมูสไลด์กองโตมาไว้กับตัว เห็นแล้วว่าถาดไม้สามถาดในอ้อมแขนวิโรจน์มีแต่เนื้อทั้งนั้น ทั้งยังมีจำนวนที่เขาพอจะกะเกณฑ์ได้ว่าคงอีกนาน นานมากทีเดียวกว่ามื้อกลางวันจะจบลง

นันทวิชญ์หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่พนักงานคนหนึ่งรีบจัดหามาให้ ตรงหน้าเป็นเตาย่างแบบไฟฟ้าที่สามารถคีบเนื้อได้ทันทีไม่ต้องเอื้อม เขากวาดตามองรอบโต๊ะอีกรอบ พึงใจไม่น้อยที่ไม่พบขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วางตั้งไว้แม้แต่ขวดเดียว

“วันเกิดใครครับ” เขาถามออกไปเสียงเรียบ ให้วิโรจน์ชะงักไปอึดใจ “ว่ายังไง ทำไมต้องคิด”

“ก็…ไม่มีวันเกิดใครครับเฮีย คือแค่…เกิดอยากกิน”

นันทวิชญ์หัวเราะเหอะ ก่อนจะคีบหมูลงบนจานตัวเองอย่างเงียบ ๆ เพราะอันที่จริงเขาเองไม่ได้ถือสาอะไร ตามปกติก็มีกินเลี้ยงระหว่างเวลางานกันเป็นระยะอยู่แล้ว เพียงแต่อย่าให้เรื่องกินมากระทบงานก็เท่านั้น ซึ่งจากที่เขาตรวจทานก่อนลาพักร้อนไปต่างจังหวัดก็รู้แล้วว่าช่วงที่เขาไม่อยู่จะไม่มีงานรีบเร่งอะไรดังนั้นหมูกระทะมื้อนี้จึงเป็นเรื่องที่เขาพออนุโลมได้

“ว่าแต่ยังไงครับเนี่ย ไหนเฮียบอกลาพักร้อนสิบสี่วันไงครับ นี่เพิ่งกี่วันเอง”

ผู้เป็นนายไม่ตอบอะไร หากในใจกำลังคิดไปถึงคนที่เมื่อคืนก่อนทำให้เขากลับมากะทันหัน คิรากรดูเป็นปกติดีในช่วงเช้า ซ้ำยังกลับจากที่ทำงานแล้วตรงมาบ้านเขาเพื่อทำเมนูง่าย ๆ อย่างสปาเกตตีผัดกะเพราสูตรเด็ดของสหรัถที่เป็นลูกพี่ลูกน้องให้กัน ทำเหมือนการที่เขากลับมากรุงเทพฯเป็นเรื่องปกติธรรมดาแล้วปิดท้ายความธรรมดานั้นด้วยการบอกว่า ‘ขอค้างอีกคืนนะ พรุ่งนี้มีงานต้องออกกองที่ต่างจังหวัดพอดีเลยว่ะ’

นันทวิชญ์ไม่ได้คิดว่าตัวเองเปล่าประโยชน์ แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้ที่คิรากรมักทำเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วย และเขารู้ดีว่าเพื่อนคนนี้ซุกซ่อนความคิดไว้ลึกมากทีเดียว

“มีธุระด่วน เลยแวะมาดูด้วยน่ะว่าออฟฟิศเป็นยังไงบ้าง”

“ครับ ออฟฟิศโล่งมากครับวันนี้ นี่ป้าสายเป็นคนหมักหมูเองด้วยนะเฮีย น้ำจิ้มก็ทำเองกับมือ ลองชิมดูครับ ๆ”

ป้าสายหรือสายหยุดเป็นแม่บ้านหนึ่งเดียวของออฟฟิศ แล้วก็นั่นไง นั่งยิ้มตาเป็นประกายมองมาจากมุมโต๊ะอีกฟากนู่น นันทวิชญ์เลยคีบหมูจิ้มน้ำจิ้มไปสองส่วน แล้วก็ได้พยักหน้าแทนคำชมเชยให้สายหยุดที่ลุ้นอยู่ได้ยิ้มกว้างทันที

 

 

 

กว่ามื้อกลางวันจะจบลงก็เกือบบ่ายสอง นันทวิชญ์อยู่ตรวจงานจนได้เวลาเลิกงานและปิดออฟฟิศก็ออกมาจากห้องทำงานส่วนตัว เห็นแล้วว่ามีพนักงานส่วนหนึ่งออกจากออฟฟิศไปแล้วเรียบร้อย ยังเหลือเพียงบางคนที่วุ่นกับการสะสางงานหมายให้เสร็จในวันนี้ เป็นเขาที่ต้องตบมือส่งเสียงเป็นจังหวะสองครั้งเรียกความสนใจ ออกปากที่ทำให้เหล่าคนบ้างานรู้เวลา

“กลับบ้านได้แล้วครับ อยู่นานกว่านี้ผมไม่มีโอทีให้พวกคุณนะ”

ได้ยินเสียงโห่ร้องดังแว่วมา แต่นันทวิชญ์ไม่ได้สนใจรอดูปฏิกิริยาหลังจากนั้น เพราะพอเห็นว่าเหล่าคนบ้างานขยับตัวยืดเส้นยืดสาย ชายหนุ่มก็เดินออกมาจากโฮมออฟฟิศเพื่อรับลมเอื่อยยามเย็น

“ป้าสาย” เขาเอ่ยเรียกแม่บ้านที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ เห็นเธอหันมาหากันจึงค่อยเอ่ยถาม “อีกเยอะไหมครับ”

“อีกนิดค่ะคุณแบงค์ เหลือซุ้มชวนชมน่ะแหละค่ะ”

‘ซุ้มชวนชม’ ที่สายหยุดพูดถึงอยู่ทางฝั่งขวาสุดของสวนหน้าบ้าน ตรงนั้นนันทวิชญ์จัดวางให้มีแต่ต้นชวนชมเรียงกระถางกันอยู่ถึงสามสิบกระถาง มีทั้งต้นใหญ่ที่ต้องใช้กระถางมังกรรองรับ กระถางขนาดกลางที่จะวางบนพื้นหญ้า กับกระถางเล็กที่เขาวางมันไว้บนขอนไม้แข็งแรงติดกำแพงขาว เรียงกันไปให้มองแล้วสวยงาม

ชายหนุ่มพับขากางเกงยีนขึ้นมาถึงหน้าแข้ง เดินไปยังก๊อกน้ำที่มีอยู่สองก๊อกข้างกัน ดึงสายยางที่ม้วนเป็นระเบียบมาต่อสาย แล้วก็ยืนรดน้ำชวนชมทั้ง ๆที่มีเสียงของสายหยุดแว่วมาจากฝั่งผักสวนครัวว่าเธอจะทำเอง

“โธ่คุณแบงค์น่ะ ป้าบอกแล้วว่าไม่ต้อง ๆ”

สายหยุดบ่นไม่จริงจัง ให้คนฟังยกยิ้มอุ่นอ่อนพลางก้าวเท้าออกจากสนามหญ้าไปยังโรงจอดรถ เอ่ยปากเชื้อเชิญให้ผู้สูงวัยทำสีหน้ากังวลใจ “ไปครับป้าสาย เดี๋ยวผมไปส่ง”

“ป้าไปเองก็ได้นะคะคุณแบงค์ อย่าลำบากคุณแบงค์เลยค่ะ อีกอย่าง…ป้านั่งรถคุณแบงค์ไม่เป็น”

นันทวิชญ์ยิ้มไม่จาง พเยิดหน้าไปทางอีโคคาร์ของตนแล้วบอกให้สบายใจ “ผมเอาอีกคันมาครับ ป้าสายนั่งได้สบายแน่นอน”

เพราะปกติแล้วนันทวิชญ์จะมีรถประจำตัวอยู่หนึ่งคันเป็นรถสปอร์ตสีดำปลอด สายหยุดเคยขึ้นนั่งเพียงหนึ่งครั้ง และดูท่าจะไม่ถูกใจเธอเอาเสียเลย…ก็มัวแต่ห่วงว่าจะจับตรงนั้นตรงนี้จนพัง นี่แหละหนา ป้าแม่บ้านที่เขาเคารพเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

สายหยุดเหลียวมองไป เห็นรถสีน้ำตาลก็ร้องอ๋อ ด้วยสงสัยมาอยู่นานสองนานว่ารถใครกันถึงไม่คุ้นตา

“รถใหม่เหรอคะคุณแบงค์”

“เปล่าครับ รถผมอีกคัน” นันทวิชญ์ว่าอย่างนั้นพลางออกเดินให้แม่บ้านเดินตาม “ส่วนใหญ่ผมจะใช้คันนี้เวลาไปหาที่บ้านน่ะครับ ทางนั้นก็สะดวกนั่งแบบนี้มากกว่า”

สายหยุดยิ้มกว้าง อดชมไม่ได้ “คุณแบงค์นี่สมกับที่น้อง ๆ เขาเรียกว่าแฟมิลี่แมนจริง ๆ เลยนะคะ ป้าล่ะปลื้มใจ๊ปลื้มใจที่ได้ทำงานให้คุณแบงค์”

นันทวิชญ์หัวเราะเบา ๆ เป็นฝ่ายเปิดประตูรถให้ผู้สูงวัยเข้าไปนั่ง โน้มกายลงไปหาแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ ตรวจตราว่าลงล็อกแน่นหนาเรียบร้อยแล้วถึงปิดประตูเดินอ้อมมาฝั่งตัวเอง ออกรถในทันทีที่สตาร์ตเครื่องพร้อมออกเดินทาง

“หนาวนะคะคุณแบงค์”

นันทวิชญ์เลิกคิ้ว ยกมือขึ้นหน้าช่องลมปรับอากาศก็ให้งุนงง “หนาวเหรอครับป้าสาย”

“ค่ะ หนาว…หนาวแบบยะเยือกเลย คุณแบงค์ปิดแอร์ฝั่งป้าให้หน่อยได้รึเปล่าคะ ป้าทำไม่เป็น”

ชายหนุ่มพยักหน้า จัดการไม่ให้ลมเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในรถปะทะกับร่างท้วมแล้วกลับมาตั้งใจขับรถ เขาไม่ได้จอดรถให้สายหยุดที่ป้ายรถเมล์อย่างที่เธอมักมายืนรอเป็นประจำ แต่กลับขับห่างออกมาจนกระทั่งถึงหน้าปากซอยบ้านเธอ

สายหยุดมองเขาเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างในตอนที่รถเทียบจอดริมถนนหน้าตลาดกลางคืน ด้วยเธอมักแวะจับจ่ายวัตถุดิบทำอาหารก่อนเข้าบ้านเสมออาการละล้าละลังพร้อมสายตาเป็นกังวลที่มองมาทำนันทวิชญ์จุดยิ้ม เห็นว่าการสัญจรไม่ได้ติดขัดอะไร ออกจะโล่งด้วยซ้ำเพราะเป็นวันเสาร์ จึงถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยหากก็อุ่นอ่อนอยู่ในที

“ป้าสายมีอะไรรึเปล่าครับ บอกผมได้นะ”

“โธ่…” เธอส่งเสียงแผ่ว เอ่ยปากในที่สุด “พักนี้คุณแบงค์มีเรื่องกังวลใจไหมคะ หรือมีอะไรที่ทำให้คุณแบงค์ไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวไหม”

ชายหนุ่มยิ้มมากขึ้นอีกนิด “ไม่มีครับป้าสาย”

สายหยุดเหมือนไม่เชื่อนักแต่ก็พยักหน้า หลังเลิกงานอย่างนี้ถึงเธอจะยังแสดงท่าทีเคารพเจ้าของบริษัทที่จ้างเธอทำงานอยู่ แต่ในมุมหนึ่งเธอยังมองนันทวิชญ์เหมือนลูกหลานที่เอื้อเอ็นดูกันอยู่เสมอ ดังนั้นคราวนี้เธอถึงได้เอื้อมมือไปจับแขนเขาเบา ๆ สายตาห่วงใยส่งให้นันทวิชญ์อย่างไม่ปิดบัง

“ป้าว่าคุณแบงค์ตั้งจิตสวดมนต์หน่อยดีไหมคะ ทำทุกคืนก่อนนอนได้จะยิ่งดี ป้าไม่รู้ว่าหนุ่มสาวรุ่นใหม่เขายังทำกันอยู่ไหม ถ้าคุณแบงค์ไม่รู้บทสวด เดี๋ยวป้าจะหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มเล็กมาให้ ที่บ้านป้ามีเยอะเลยนะคะ”

หากเป็นคนอื่นนันทวิชญ์คงคิดว่าตนเองกำลังถูกชักชวนให้เข้าลัทธิอะไรสักอย่างแน่ แต่กับสายหยุดแล้วไม่ใช่ เขารับรู้ว่ามีอะไรบางอย่างแฝงมากับคำแนะนำนั้น ริมฝีปากหยักจึงวาดยิ้มขอบคุณอย่างจริงใจ

“ปกติผมสวดมนต์ไหว้พระทุกคืนครับป้าสาย มีแต่ช่วงนี้ที่วุ่น ๆ กลับบ้านก็เหนื่อยแล้ว ป้าสายไม่ต้องห่วงนะครับ”

สายหยุดพยักหน้าอย่างเบาใจ เอ่ยขอบคุณความมีน้ำใจของเจ้านายแล้วขอตัวลงรถ นันทวิชญ์เองก็รอจนเธอเดินเข้าใกล้ทางเข้าตลาดถึงสวมแว่นกันแดดแล้วหมุนพวงมาลัยเคลื่อนล้อออกจากฟุตพาท มุ่งตรงไปยังเส้นทางที่จะไปถึงจุดหมายโดยคาดการณ์ว่าคงไม่เกินสามสิบนาที…คนที่เขากำลังจะไปหาคงทำธุระเสร็จพอดี

 

 

 

To be continued.

สามารถติดตามอ่านเนื้อหาทั้งหมดได้ในแอป