Possessed เล่ห์ลวงดาว (จบ)

ตอนที่ 1

ตอนที่ 1

ลุ่มหลง

ยิ่งสองเท้าผู้สัญจรเดินลึกเข้าไปในเขตชุนหลอวาน หูก็ยิ่งสดับได้ถึงเสียงซอเอ้อร์หูบรรเลงแว่วหวานบาดจิต ประกอบอุปรากรณ์ประจำชาติที่พร้อมพรั่งไปด้วยดนตรีประสาน กับลีลาการร่ายรำโลดโผนตระการตา พื้นที่เวทีโอ่อ่าบ่งบอกว่าการแสดงคืนนี้จัดขึ้นเพื่อต้อนรับแขกคนสำคัญ

“นับว่างิ้วกวางตุ้งมีเอกลักษณ์แปลกตาทีเดียวนะ”

“งิ้วภูธรจะไปสู้งิ้วเมืองหลวงได้ยังไงกัน”

เหล่าทหารตาสีน้ำข้าวหัวร่อต่อกันขณะยืนประจำการอารักขานายพลคนใหญ่คนโต เสียงต่อกระซิกเป็นภาษาต่างชาตินั้น ทำให้พวกเขาไม่คิดว่าคนท้องถิ่นด้อยการศึกษาจะเข้าใจ

แต่ วินเซนต์หวัง…สดับรับรู้มันได้ทุกคำ 

ในใจพลันรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นจนจุกแน่นในอก ทั้งที่เหตุการณ์นี้ผ่านมาแล้วหลายทศวรรษ

เพราะเขตชุนหลอวานในศตวรรษที่ 21 ได้กลายเป็นย่านการค้าดึงดูดนักท่องเที่ยวและเม็ดเงินต่างชาติเขตหนึ่งของฮ่องกง ที่แห่งนี้ถือเป็นการผสมผสานระหว่างชุมชนอนุรักษ์เมืองเก่าและความเจริญทางวัตถุนิยมสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว

แต่ภาพของตรอกไก่เซี่ยตรงหน้าวินเซนต์ในเวลานี้… 

กลับเป็นเหตุการณ์ในอดีตที่ย้อนไปถึงสมัยอังกฤษได้อำนาจปกครองคืนมาจากญี่ปุ่น

การจัดแสดงเป็นไปด้วยความตึงเครียด เพราะทหารอังกฤษเข้าควบคุมสถานการณ์ล้อมเต็มพื้นที่เวทีจนแน่นขนัด ไม่เหลือเค้าของงานเฉลิมฉลองการได้ฮ่องกงคืนจากน้ำมือชาวอาทิตย์อุทัยแม้แต่น้อย

สายตาของวินเซนต์เอาแต่จับจ้องไปที่ลานกว้าง มองดูนางงิ้วผู้วาดลวดลายบนเวทีอย่างชดช้อย แต่ใจเขายิ่งระทึกขึ้นทุกขณะ ที่ใกล้ถึงบทต้องชักกระบี่ออกมาร่ายรำ

อย่าจี้จงอย่าชักกระบี่นั่น

ถ้อยคำร้องห้ามอื้ออึงอยู่แค่ในหัวชายหนุ่ม แต่สุ้มเสียงใด ๆ ก็ไม่อาจสั่งการให้ลอดออกจากปากตน ราวกับเขาเพียงอาศัยร่างนี้ในฐานะผู้เฝ้าดูได้เท่านั้น

และทันทีที่นางงิ้ววาดมือเข้าจับอาวุธ ประกายคมกล้าก็เผยออกมาท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้คน

“นั่นดาบจริง! มันเป็นกบฏ ทุกคนคุ้มกันท่านนายพล!! ”

ทหารกรูกันเข้าล้อมตัวผู้แสดงอย่างขึงขัง เหมือนกับพวกเขารู้อยู่แล้วว่าสิ่งนี้จะต้องเกิด

ผิดกับบุรุษหน้าหยกในบทนางงิ้ว ที่ยังมีสีหน้านิ่วตื่นตระหนกกับอาวุธร้ายในมือตน

“ท…ทำไม นี่มันเรื่องอะไรกัน?? ”

จี้จงถอยกรูดไปจนสุดขอบเวที แต่ตัวเขากลับออกหน้าให้คณะนักแสดงตัวประกอบหลบอยู่ด้านหลังเอาไว้ ขณะพวกทหารดาหน้าเข้ามาใกล้ขึ้น ภายใต้จำนวนเจ้าหน้าที่ถึงเพียงนั้น กระบี่เพียงเล่มเดียวกลับพลิกจากอาวุธป้องกันภัย กลายเป็นหลักฐานของการลอบประทุษร้าย

เกิดอะไรขึ้น

ในขณะกองกำลังหมู่มากกวาดต้อนผู้คนไปรวมกันยังลานกลาง สายตาของวินเซนต์กลับซอกแซกมองหาชายชาติทหารยศพลโทด้วยแววมุ่งร้าย 

ไม่มีใครรู้ว่า…ยังมีอาวุธสังหารอีกชิ้นซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเขา

มีดสั้นคมกริบพุ่งตรงไปยังเป้าหมายโดยไม่มีผู้ใดทันสังเกต ดวงตาชายหนุ่มเบิกโพลงไปด้วยทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยปราศจากการควบคุมของเขาแต่เวลาที่ปลายมีดจะเข้าถึงร่างทหารชั้นยศสูง มันกลับถูกขัดขวางด้วยคนใกล้ชิดเอาไว้เสียก่อนร่างของวินเซนต์โดนกดไว้ในเงื้อมมือชายฉกรรจ์หลายคน ซึ่งทำให้การดิ้นรนไร้ประโยชน์ไปโดยสิ้นเชิง

เขาได้แต่มองกลับไปยังสถานการณ์คับขันบนเวทีแสดง

ซึ่งตอนนั้น…กระบี่ที่ทำให้เรื่องบานปลาย กำลังจ่ออยู่แนบคอเนื้อของนางงิ้วแล้ว

วินเซนต์แผดเสียงห้ามสุดลำคอ

อย่าอย่าทำนะ!! 

หลี่จี้จงเป็นคนสั่งการเรื่องลอบสังหารเขาเป็นคนวางแผนเองทั้งหมด!!

ชายหนุ่มได้แต่อ้าปากค้างกับถ้อยคำที่เปล่งออกไป เขาพยายามแล้วที่จะร้องปราม แต่ทุกคำกลับกลายเป็นถ้อยแถลงใส่ร้ายอีกฝ่ายจนไม่เหลือดี

ทำให้เวลานี้ สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงแววตาอันเต็มไปด้วยความผิดหวังของจี้จง

“ดี…ทุกเรื่อง ทุกอย่าง เอามาลงเป็นความผิดของฉันให้หมด 

ฉันคนนี้จะรับไว้เองคนเดียว! ”

นางงิ้วหน้าหยกก้าวออกมาเผชิญหน้าทหารที่แตกฮือเป็นวง แต่ยังคงจับอาวุธปืนยาวจ่อเล็งล้อมกระชับพื้นที่ ซึ่งจี้จงไม่ได้หวั่น ในมือเขามีเพียงกระบี่เล่มนั้นที่ใช้จี้อยู่แนบคอตน ขณะที่สายตาจ้องตอบมายังผู้ทรยศอย่างคับแค้นใจ

วินเซนต์ไม่สามารถหลบหลีกไปได้ แม้ในใจจะกู่ร้องสุดเสียง แต่คนที่ทำมันไม่ใช่ตัวตนของเขาแม้แต่น้อย 

จนเมื่อตั้งสติได้อีกที เหตุการณ์วุ่นวายรอบกายก็มลายหายไปสิ้น

ที่ตรงนั้นเหลือแต่พวกเขาทั้งสอง…ยืนประจันหน้ากันและกัน

“หวังว่านไฉ…พอใจนายแล้วรึยัง? ”

คำของนางงิ้วทำให้ชายหนุ่มนิ่วหน้า เพราะสายตาคมกริบนั้นจดจ้องมาที่เขาในชื่อของคนอื่น

แต่วินเซนต์ก็รู้ดี…ว่าคนที่พูดถึงอยู่คือใคร

“โกรธเกลียดฉันมากเหรอ? แค้นเราพี่น้องมากนักเหรอ? คำว่าครอบครัวเดียวกัน สำหรับนายมันเป็นแค่สายลมผ่านห

เท่านั้นรึไง…ทำไมถึงทำแต่เรื่องเลวร้าย ขายชาติ ทำให้บ้านเราแตก

พี่ซ่งเหยียนก็ตายไปแล้วทั้งคน นายยังจะเอายังไงกับฉันอีก!? ”

ทุกถ้อยคำตัดพ้อที่ได้ฟัง ทำให้วินเซนต์ปวดร้าวราวกับศีรษะจะแยกเป็นเสี่ยง สองมืออยากยกขึ้นปิดโสตรับรู้ แต่สิ่งที่แสดงออก กลับเป็นริมฝีปากที่เหยียดรอยยิ้มเย้ยหยัน

“ยอมรับเถอะจี้จง นายเขียนจุดจบนี้ให้ตัวเอง…ชอบฉันที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ? ”

ถ้อยคำถากถางพรั่งพรูออกมาอย่างไร้การควบคุม วินเซนต์อยากให้ร่างนี้หยุดทุกการกระทำ แต่เขากลับห้ามอะไรไม่ได้เลย หวังว่านไฉยังคงกล่าวออกไปพร้อมสายตาของผู้กำชัยชนะ

“สารเลว ถ่อยสถุล เศษเดนมนุษย์…ฉันร้ายได้เท่าไหร่ พวกนายก็ยิ่งอยากจะเลี้ยงไว้ประดับความดีของตัวเองให้ดูสูงส่งยิ่งขึ้น 

แต่อย่าลืมนะคุณชายหลี่ ยื่นมือลงมาจุ่มโคลน…ความโสมมมันก็ย่อมติดมือไปด้วย 

ถามว่าฉันพอใจรึยังเหรอ? ยิ่งกว่าพอใจซะอีก

ตอนนี้นายจุ่มลงมาทั้งตัวแล้ว หัวจรดเท้ามีแต่โคลนโสโครกเหมือนกับที่พอกตัวฉันมาตลอดชีวิต

เราไม่ต่างกันแล้ว…จี้จง เรามายืนอยู่ด้วยกันตรงนี้ที่จุดต่ำสุด…และนายเหลือแค่ฉัน

ชีวิตนายเป็นของฉัน เป็นตายอยู่ที่ฉัน รักฝังใจก็ตัวฉันแค้นฝังกระดูกก็คือฉัน

…อยู่ด้วยกันตลอดไป”

มือของปีศาจในร่างมนุษย์ยื่นออกมาตรงหน้าราวกับเชิญชวน แต่คนบนเวทีไม่มีทีท่าเลยที่จะสดับฟัง วินเซนต์เห็นจี้จงก้าวถอยห่างไปเรื่อย ๆ โดยทุกฝีก้าวนั้นยิ่งทำให้ผู้ประจักษ์เหตุการณ์สะท้านขึ้นในใจ

“อยากอยู่ ก็จงอยู่ไป…” น้ำเสียงนางงิ้วที่เคยไพเราะเพราะพริ้ง บัดนี้กลับเยียบเย็นจนน่าขนลุก

“อยู่ให้พอใจ อยู่อย่างโดดเดี่ยวพร้อมเสียงประณามจากทุกหย่อมหญ้าที่แกย้อมเป็นสีเลือด

โลหิตของพี่น้องตระกูลหลี่คนสุดท้ายคนนี้…จะสาปส่งแกให้อยู่อย่างเดียวดายไปชั่วกัปชั่วกัลป์! ”

สิ้นเสียงสาปแช่งคำนั้น กระบี่ในมือจี้จงก็ปาดลึก ปลิดชีพของคุณชายรองแห่งโรงน้ำชาสามรุ่นจนสิ้นชื่อ สีชาดสาดกระเซ็นจนย้อมใบหน้าผู้อยู่รับรู้ทุกเรื่องทุกอย่าง เสมือนตราบาปที่ประทับไว้ไม่ให้คลาดเคลื่อนผิดฝาผิดตัว

คำสาปแช่งของหลี่จี้จงยังกังวานก้อง และคงอยู่สืบไป…

เฮือก

จี้จงไม่!

วินเซนต์ทะลึ่งพรวดขึ้นจากเบาะหลังรถพร้อมเหงื่อกาฬที่แตกพล่าน จนสารถีต้องหันมาถามผ่านการมองกระจกส่องหลัง

“อะไรกันเจ้าเกาลัดน้อย? โวยวายจนเจ๊ตกใจเกือบเสยท้ายรถคันหน้าแล้วไหมล่ะ? ”

เสียงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงของผู้จัดการทำเอาชายหนุ่มเลิ่กลั่ก ยกมือขึ้นป้องแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านหน้าต่าง จนสติระลึกได้อีกครั้งว่าตัวเองยังอยู่ในการเดินทางบนรถส่วนตัว

“ขอโทษครับเจ๊หยี”

วินเซนต์ผงกศีรษะให้สาวใหญ่ตรงเบาะคนขับ ก่อนนวดกระบอกตาที่ยังปวดหนึบหลังจากตื่นกะทันหัน อาการนั้นทำให้ผู้ดูแลอย่างเจ๊หยีอดเป็นห่วงไม่ได้

“นอนดึกทำไม? ทั้งที่รู้ว่าวันนี้ประชุมกองวันแรก ดูบอลอีกล่ะสิ”

“โธ่ เจ๊คร้าบ…อย่าเริ่มเทศน์ผมเลย ผมไม่ใช่เด็กแล้วน้า” หนุ่มน้อยบ่นอุบอิบ แต่ยังไม่วายพรั่นเสียงลม ”…แมตสำคัญมันเย็นนี้ต่างหาก”

เป็นอิแบบนี้เจ๊จะไม่ห่วงเด็กปั้นในสังกัดตัวเองได้อย่างไร

“อย่าหลงชะล่าใจว่าวัยใสอยู่ ฝืนอดนอนมาก ๆ หน้าโทรมจะหาว่าเจ๊ไม่ดูแลไม่ได้นะจ๊ะ”

บ่นตามประสาพี่เลี้ยงไปพลาง มือของสาวใหญ่ก็เปิดวิทยุให้ผู้โดยสารคลายอาการง่วงซึม เสียแต่ว่าเธอลืมไปว่าแผ่นซีดีอันเก่าของลูกชายยังค้างอยู่ในเครื่องเล่น

‘♫ เกาลัดร้อนๆมาแล้วจ้าอากาศดีฟ้าสดใสพวกเราออกไปคั่วเกาลัดกันเถอะ♪ ’

“อุ๊ยตายแล้ว…” 

ทันทีที่แผ่นเพลงรายการเด็กดังขึ้น ผู้จัดการสาวก็กุลีกุจอเปลี่ยนโหมตเครื่องเสียงเป็นการใหญ่ ทำเอาวินเซนต์หลุดขำคิกคักมาจากเบาะหลัง

“แฟนพันธุ์แท้จริง ๆ น้า~ เสี่ยวหยงเนี่ย เดี๋ยวเดือนหน้าก็ 5 ขวบแล้ว”

หนุ่มน้อยกล่าวถึงเจ้าตัวแสบของเจ๊หยีที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก หรือจะพูดให้ถูกคือ ผู้จัดการคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนนี้อยู่ดูแลวินเซนต์ตั้งแต่เริ่มก้าวเข้าวงการในฐานะดาราเด็ก จนเหมือนครอบครัวเดียวกันไปแล้ว

“แต่อ้อนแต่ออกก็ดูอยู่รายการเดียวเนี่ย เข้าอนุบาลแล้วแท้ ๆ ทุกเช้าก็ยังบังคับเจ๊เปิดแผ่น ‘พี่เกาลัดน้อย’ ไม่งั้นเจ้าแสบก็ไม่ยอมขึ้นรถ หลอนหูเจ๊ยิ่งกว่า Baby Shark ซะอีก”

ไม่พูดเปล่า สารถีก็ยื่นตลับซีดีให้หนุ่มน้อยคู่สนทนาด้านหลังให้ช่วยใส่แผ่นคืน พร้อมกล่าวสำทับ

“เราน่ะ…เป็นสื่อที่มีอิทธิพลมากกว่าที่ตัวเองคิดนะ รู้ไหม? ”

วินเซนต์ได้แต่ยิ้มเจื่อนเมื่อเห็นภาพพิมพ์ของเด็กแก้มป่องสวมหมวกทรงเกาลัดใบโต กับความทรงจำในการเป็นพิธีกรรายการคุณหนูยุค 90 ที่ฮิตติดลมบน

จนถึงตอนนี้…การจะสลัดเด็กหมวกเกาลัดออกจาก ‘ภาพจำ’ ของผู้ชม มันช่างยากซะเหลือเกิน

“ผมจะเข้าเบญจเพสอยู่แล้วนะเจ๊ ให้ใส่หมวกการ์ตูนแบบนี้อีกก็ตลกตาย”

วินเซนต์ทำมือไหว้ปรก ๆ แต่ความหนักใจของดาราเด็กที่ไม่ประสบความสำเร็จในการก้าวสู่ภาพลักษณ์ผู้ใหญ่ในสายตาสื่อ มันไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ ในอาชีพนักแสดงของเขาเลย

เจ๊หยีในฐานะผู้จัดการส่วนตัวก็เข้าใจถึงความยากลำบากในกระบวนการนี้ดี ได้แต่ให้กำลังใจเด็กหนุ่มอยู่เรื่อยไปเสมือนลูกชายคนโต

“คนที่ไม่หยุดพัฒนาน่ะ ไม่มีทางย่ำอยู่กับที่ได้นานหรอก

อีกอย่างงานที่จะเข้าร่วมวันนี้ก็ทำให้เต็มที่ล่ะ บทละครจากนิยายกระแสดังไม่ใช่ว่าจะถูกเลือกมาเล่นเป็นตัวนำได้ง่าย ๆ แถมคราวนี้ได้บทดาวร้ายเรียกเรตติ้งอย่าง ‘เจ้าหน้าบาก – ว่านไฉ’ มาด้วย ปีนี้หวังรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ได้เลย

แต่พูดนี้ก็ให้ฮึดสู้นะ…อย่าเก็บไปกดดันซะเอง เข้าใจไหม? ”

ถึงจะว่าให้กำลังใจแต่ก็ยังใส่สุด คงเป็นวิธีอบรมเด็กปั้นตามฉบับสาวแกร่งคนนี้ที่ทำให้วินเซนต์ไม่กล้าเหลวไหลไปตามอย่างเด็กทั่วไปที่เข้าวงการไล่ ๆ กันมากนัก

แม่ก็คือแม่

ระหว่างที่เงียบไป เจ๊หยีก็แอบเห็นผ่านกระจกหลัง ว่าเจ้าหนุ่มค้นหนังสือต้นฉบับออกจากเป้ยุกยิก

“โห…นี่อ่านไปจะครึ่งเล่มแล้วเหรอเนี่ย? ฟิตไม่เบาเลยนี่”

สารถีกล่าวชมเมื่อสังเกตว่าหนังสือนิยายเล่มหนาที่วินเซนต์หยิบขึ้นมานั้นถูกคั่นไว้เกือบจะกลางเล่มแล้ว

“จบไปรอบนึงแล้วครับเจ๊ นี่กำลังอ่านทวนเก็บรายละเอียด” หนุ่มน้อยตอบแทรกเสียงหาววอด ขณะกลอกตาคร่าว ๆ ผ่านบทสนทนาที่ตัวเองขีดด้วยมาร์คเกอร์หลากสีไว้

เจ๊หยีเบิ่งตาโต “เธอจะบ้าเหรอ?? นิยายสี่ร้อยกว่าหน้า อ่านในคืนเดียวจบเนี่ยนะ มิน่าถึงไม่ยอมหลับยอมนอน”

“แต่มันวางไม่ลงจริง ๆ นะเจ๊” วินเซนต์แก้ตัวเสียงกระเง้ากระงอดก่อนตัวเองจะถูกเทศนารอบสอง

“แรกรู้จักชื่อ ‘บาปเลือดสองแผ่นดิน’ ผมก็คิดไปว่าเนื้อหามันต้องลงหนักเรื่องการเมือง ความโหดร้ายในสงครามช่วงญี่ปุ่นรุกรานจีนแน่ 

แต่ปรากฏว่าคนเขียนกลับเล่าเรื่องความตึงเครียดเหล่านั้น ผ่านการเติบโตของเด็กหนุ่มโรงน้ำชาในชุนหลอวาน แลกเปลี่ยนข่าวสารวิถีชีวิตผ่านแขกที่เข้าออกในร้าน กับประเด็นการเหยียดเชื้อชาติที่เกิดขึ้นในระดับภูธร

ผมหลงใหลในตัวละครอย่าง ‘หลี่จี้จง’ มากจริง ๆ ดูเขาจะเป็นคนเดียวในหมู่ชาวเมืองที่นั่นที่ไม่แบ่งแยกคนด้วยเชื้อสายรูปลักษณ์ ยินดีรับเด็กลูกครึ่งญี่ปุ่นอย่าง ‘หวังว่านไฉ’ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

เสียดายที่แรงใจคนคนเดียวไม่สามารถเปลี่ยนปีศาจได้ สุดท้ายเมื่อว่านไฉกลายเป็นคนของรัฐบาลหุ่น คนที่รับกรรมก็หนีไม่พ้นพวกที่เคยรังเกียจสายเลือดญี่ปุ่นมาก่อน จี้จงไม่ผิดด้วยซ้ำ เขาแค่อยู่ตรงนั้นและเชื่อจนนาทีสุดท้ายว่าคนอย่างว่านไฉจะกลับใจได้…อยากให้เขามีจุดจบที่ดีกว่านี้เหลือเกิน”

สีหน้าของเด็กหนุ่มหมองเศร้าลงเมื่อปรายตามองถ้อยคำในหนังสือนิยาย ทุกบรรทัดที่เป็นบทพูดของจี้จง ไม่มีคำไหนที่ไม่จี้ใจคนที่ร้ายกาจอย่างเจ้าหน้าบาก วินเซนต์อาจจะอินมากในฐานที่ต้องรับบทเป็นผู้นำพาหายนะมาสู่ตัวละครตัวนี้

“มิน่าล่ะ อินขนาดนี้ถึงได้เก็บไปฝัน ร้องชื่อจี้จงซะลั่นรถ” 

เจ๊หยีกระตุกขำเมื่อในที่สุดก็รู้ว่าอีกฝ่ายฝันร้ายถึงอะไร

“สารภาพว่าเจ๊ก็คิด ว่าถ้าเธอเล่นบทจี้จงแทนมันจะกดดันน้อยกว่านะ แต่ทางต้นสังกัดเขาล็อกให้ดาราฝั่งไต้หวันมารับบทคุณชายรองคนนี้เอาไว้แล้ว 

วินเซนต์…เธอเองก็ระวังตัวไว้หน่อยแล้วกัน ดันไปปาดหน้าเค้ก แย่งบทว่านไฉที่รุ่นพี่ขาโหดเขาเล็งไว้ ยังไงวันนี้ก็จะเจอกันในกองด้วยสิ”

พูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำเอาเด็กหนุ่มกลอกตาทำหน้าเบ้

“เจ๊เชื่อผมเถอะ คนอย่างหมอนั่นได้บทพี่ชายประสาทแหลกอย่าง ‘หลี่ซ่งเหยียน’ ก็เหมาะแล้ว คนอะไรตรงบทครบทุกเม็ดขนาดนั้น คิดดูสิ…ทั้งปากร้าย อารมณ์เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง อคติไร้เหตุผล ไม่ฟังใคร

ถ้าตามท้องเรื่องจริง คนที่ผลักให้ชีวิตว่านไฉเข้าสู่ด้านมืดก็อิตานี่ล้วน ๆ ในนิยายเขียนให้ตายตั้งแต่เหตุไฟไหม้โรงย้อมผ้าก็ถือว่าตัดตัวสร้างบาปสร้างกรรมไปได้หนึ่งแล้ว”

“เรื่องนี้พูดไปจะพาลให้งานเข้าเอานะ” สาวใหญ่รีบเบรกเจ้าหนุ่มปากไวไว้ เพราะไม่รู้ว่าที่พูดนี่อินนิยายหรือหมั่นไส้เจ้าของบทบาทเป็นการส่วนตัวกันแน่

“ที่น่าห่วงเกี่ยวกับโปรเจกนี้ก็เพราะดันเอามาจากสิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์ทางเลือกนี่แหละ ความจริงไม่มีใครรู้ว่าพี่น้องตระกูลหลี่เสียชีวิตยังไง วิจารณ์อะไรไปคนที่เชื่อตามบันทึกเขาจะว่าเอาได้

ยังไงวันนี้ในกองก็ทำตัวดี ๆ มีสัมมาคารวะแล้วกัน กับคนอย่าง ‘แจ็ค หลุย’ น่ะ เดี๋ยวเจ๊เคลียร์ให้เอง”

“ฝากเงาหัวผมไว้ที่เจ๊แล้วคร้าบ~” 

เจ้าหนุ่มวินเซนต์ผงกหัวคำนับเจ๊ใหญ่อย่างหยอกล้อ แต่สีหน้ายังแฝงไว้ด้วยความกังวล เป็นเพราะภาพติดตาของจี้จงที่ปาดคอต่อหน้าในความฝันยังคงตราตรึง

รวมถึง เรื่องวุ่น ๆ ในกองถ่ายที่ใจก็รู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยง…

รถของเจ๊หยีเข้ามาจอดยังสตูดิโอในเวลาคาบลูกคาบดอกของที่ทีมงานนัดไว้ เป็นแบบนี้ภาพของวินเซนต์ซึ่งปรากฏต่อสายตาคนในกองวันแรก คือเด็กหนุ่มผู้วิ่งกระหืดกระหอบเข้าตึกมา ขณะที่โต๊ะทรงโค้งของห้องประชุมนั้นเหลือเก้าอี้ว่างอยู่ไม่กี่ที่

“ข…ขอโทษที่มาสายครับ”

วินเซนต์ค้อมหัวยกใหญ่ ทั้งที่นาฬิกาก็ไม่ได้บอกว่าเขาเลยเวลานัด ท่าทีนอบน้อมของดารารุ่นใหม่ทำให้ไม่มีคนว่าอะไร

เว้นเสียแต่…

“ถือตัวว่านักเขียนเลือกมา คิดจะโผล่หัวเข้ากองเมื่อไหร่ก็ได้รึไง? ”

เสียงนี้จะเป็นใครไปได้ 

เจ้าเกาลัดน้อยเอ๋ยโดนหมายหัวเข้าให้แล้ว.

To be continued.

สามารถติดตามอ่านเนื้อหาทั้งหมดได้ในแอป