Chapter 1
ไร้ความทรงจำ
“ฮึก… เธออยู่ที่ไหน กลับมาฟัง… ฮึก ก่อน”
เฮือก!!
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโพลงขึ้น เด็กสาวตัวเล็กในชุดนักเรียนมัธยมปลายยืนค้างแน่นิ่ง ตื่นตระหนกกับเสียงภายในหัวที่ดังก้อง ความเจ็บปวดส่งผ่านเสียงร่ำไห้ของใครบางคน สองมือเล็กยกขึ้นทึ้งผมสั้นหยักศกประบ่าสีน้ำตาลแดงดั่งใบเมเปิล เรี่ยวแรงพลันหายไปทรุดกายลงนั่งกองกับพื้น เสียงสะอื้นดังขาดห้วงในหัวฟังจับใจความไม่ได้ ภาพรอยยิ้มละไมอันเลือนรางไหลเข้ามาเสี้ยววินาที ก่อนทุกอย่างจะค่อย ๆ สงบและจางหายไปในที่สุด
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นช่างเลือนราง หากแต่ความเจ็บปวดที่ส่งผ่านมากลับชัดเจน พอ ๆ กับรอยยิ้มละไมแสนอ่อนโยนและอบอุ่นที่ได้เห็น ยังคงจดจำ ยังคงติดอยู่ในความคิด แม้เป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่ฉายเข้ามาภายในความทรงจำแสนว่างเปล่า
ความว่างเปล่าปนเปไปด้วยเสียงร้องร่ำไห้ของใครบางคน คำพูดอันขาดห้วงฟังไม่ได้ศัพท์กลับรับรู้ถึงความปวดร้าวและสิ้นหวัง เจ็บปวดเสียจนรอบดวงตาใสร้อนผะผ่าว สองแก้มสัมผัสความเปียกชื้น ก้อนความรู้สึกอันไร้สาเหตุกลั่นตัวเป็นหยาดน้ำหลั่งไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
แต่ทว่าไม่รู้เพราะเหตุผลใด เด็กสาวกลับรู้สึกคุ้นเคยทั้งเสียงและรอยยิ้มนั้นเสียเหลือเกิน
“ใครกันนะ…”
คำถามแรกผุดขึ้นมาในหัว ก่อนคำถามที่สองจะตามมา
“แล้วนี่เรา… เป็นใครกันนะ…”
เด็กสาวได้สติสะดุ้งตกใจ รับรู้ถึงสิ่งรอบกายทั้งที่เมื่อครู่ยังคงว่างเปล่าและขาวโพลน ผู้คนมากมายเร่งฝีเท้าเดินสวนทางกันขวักไขว่ ดวงตาใสสั่นไหวตื่นตระหนกหันมองไปทั่วทิศ จึงได้รู้ว่าในขณะนี้ตนกำลังนั่งจมความฉงนมึนงงอยู่บนถนน กลางทางม้าลายสี่แยกของที่ไหนสักแห่ง
มือเรียวยันลงพื้นหยัดตัวลุกขึ้นยืนตั้งหลัก เคว้งคว้างท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของผู้คน กับภาษาที่จับใจความไม่ได้ แหงนหน้าขึ้นมองสัญญาณจราจรปรากฏตัวเลขค่อย ๆ นับถอยหลัง ดวงตาไร้แววเกิดสั่นไหวหวาดหวั่น สมองกลับมาทำงานประมวลผลอีกครั้ง มันยังคงมีเพียงความว่างเปล่าไม่เปลี่ยนแปลง คำถามมากมายประเดประดังเข้าหาตน
ที่นี่ที่ไหน และตัวฉันเป็นใคร
ความทรงจำของเธอ ไม่หลงเหลือแม้เพียงเสี้ยว
เรียวขาแทบไร้เรี่ยวแรงก้าวถอยหลังช้า ๆ จนมาหยุดยืนบนฟุตพาท ใบหูเล็กตั้งใจรับเสียงรอบกายมากขึ้น ภาษาที่ผู้คนใช้แม้ตั้งใจฟังสักเท่าไร กลับไม่เข้าใจความหมายเลยสักนิด ความหวั่นใจยิ่งก่อตัวเพิ่มพูนขึ้น มันมากขึ้น และยิ่งมากขึ้นจนกลายเป็นความหวาดกลัว เมื่อดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นี้เลื่อนไปสบกับนัยน์ตาไร้แววของเด็กชายคนหนึ่ง
อีกฟากฝั่งของถนนปรากฏร่างเด็กชายอายุราวห้าขวบ สิ่งที่ทำให้เด็กสาวตัวเล็กไร้ความทรงจำสั่นกลัวเสียจนขาแข็ง ยืนนิ่งค้างราวกับต้องคำสาป เด็กชายในชุดสีซีดขาวเป็นริ้วขาดทั่วตัว นอนราบคลานบนพื้นแหงนหน้าขึ้นสบสายตากับดวงตาสีน้ำตาลอ่อน แขนขาเด็กชายบิดเบี้ยว ดวงตากลมโตวูบไหวมองเลยผ่านไป เด็กชายคนนั้นมีเพียงท่อนบนไร้ท่อนล่าง บนพื้นถนนเกรอะกรังด้วยเลือดทั่วบริเวณ และแล้วเด็กชายคนนั้นกลับกำลังทำสิ่งที่ไม่คาดฝัน ร่างกายเพียงท่อนบนค่อย ๆ คลานตรงมายังเธอด้วยความเชื่องช้า
นั่นไม่ใช่มนุษย์ นั่นคือวิญญาณ…
“กรี๊ดดดดด อย่าเข้ามานะ!!”
เสียงกรีดร้องลั่นกังวาน ขาเคยไร้เรี่ยวแรงออกตัววิ่งอย่างสุดกำลัง ไร้จุดหมายปลายทางรู้เพียงต้องเอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ ดวงตาเจ้ากรรมเมื่อได้เห็นสิ่งน่ากลัวครั้งหนึ่งก็เริ่มไม่รักดี กลั่นแกล้งให้เธอได้เห็นมากขึ้นอย่างไร้ปรานี ผู้คนเดินขวักไขว่อยู่ในคราแรกที่เธอมองเห็น ตอนนี้กลับปะปนอยู่ร่วมกับวิญญาณไร้กายเนื้อ สภาพปรากฏให้เห็นคล้ายว่าเป็นก่อนช่วงวิญญาณเหล่านั้นจะสิ้นใจ น่ากลัวเสียจนเด็กสาวแทบสิ้นสติ
ทั้งความสับสนในความทรงจำที่ไม่หลงเหลือ ทั้งภาษาที่ยังคงสื่อสารกับใครไม่ได้ ทั้งการมองเห็นเหล่าวิญญาณน่าหวาดกลัว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด สิ่งที่ทำให้กลางอกเด็กสาววูบโหวงหวาดหวั่นเสียยิ่งกว่าเห็นวิญญาณเหล่านั้น คือความทรงจำของเธอที่หายไป ในตอนนี้เธอไม่รู้กระทั่งชื่อของตัวเอง ไม่รู้เลยว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ความทรงจำที่พอจะจดจำได้มีเพียง…
เสียงร่ำไห้และรอยยิ้มอันอบอุ่นนั้น
“โอ๊ย!!”
ขีดจำกัดของเรียวขาสิ้นสุดจึงล้มหน้าคะมำกองลงกับพื้น ลมหายใจหอบถี่กระชั้น เด็กสาวยังนอนฟุบหน้าอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกอันหลากหลายยังประเดประดังมาไม่ขาดสาย สั่นไหว หวาดกลัว ว่างเปล่า และความเจ็บปวดที่ยังหาที่มาไม่ได้
“ฮึก…”
ริมฝีปากบางงับเข้าหากันกลั้นก้อนสะอื้น เป็นอีกครั้งต้องฝืนหยัดตัวลุกขึ้นยืน แม้ว่าเรี่ยวแรงนั้นเหลือน้อยเต็มกลืน แต่จะให้นอนกองอยู่ตรงนี้ต่อไปก็เกรงว่าจะถูกเหยียบเอาได้
“ทำยังไงดี ต้องไปที่ไหน…”
ขณะสองมือเล็กกำลังก้มลงปัดเศษฝุ่นบนกระโปรงนักเรียนยาวเหนื่อเข่า ปลายจมูกรั้นกลับได้กลิ่นหอมเจือจางลอยมากับสายลม กลางอกเต้นระรัวเสียยิ่งกว่าตอนวิ่งฝ่าฝูงชน บีบตัวรัดแน่นส่งเสียงกังวานดังก้องภายในหู
เสียงเซ็งแซ่รอบกายถูกกลืนหายไปราวกับปิดสวิตช์ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโพลงเป็นประกายขึ้น ยืนนิ่งค้างในขณะที่ใครบางคนกำลังเดินสวนทางไป ใบหน้าเหลอหลาหันขวับตามกลิ่นหอมจากตัวใครคนนั้น ไวเท่าความคิด คว้าข้อมือเจ้าของเรือนผมยาวตรงสวยสีดำเงาดูมีเสน่ห์
ช่วงเวลาที่มือเล็กเข้าสัมผัสข้อมือคนแปลกหน้า บรรยากาศขมุกขมัวปกคลุมด้วยม่านหมอกค่อย ๆ ถูกปัดเป่า ท้องฟ้าที่เคยมืดครึ้มได้แปรเปลี่ยนสีเป็นฟ้าครามสดใส แสงแดดส่องมาถึงขับไล่ความเหน็บหนาว และสิ่งน่ากลัวรอบกายที่เคยมองเห็น หายวับไปกับตาเหมือนว่าไม่เคยมีอยู่
“หืม…”
“……”
ต่างคนต่างตกใจยามสองสายตาหันมาสบกัน ความเงียบเข้าปกคลุมไร้คำเอื้อนเอ่ยใด เด็กสาวรับรู้เพียงกลิ่นหอมจากคนตรงหน้า ริมฝีปากเผยอขึ้นเหมือนต้องการพูดบางสิ่ง ทว่าในสมองอันขาวโพลนดันไร้ประโยชน์ ค้นหาสิ่งที่อยากจะเอ่ยออกไปไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร รู้เพียงว่ามีบางสิ่งที่จะต้องพูดออกไปเท่านั้น
อยากพูดอะไรกันนะ…
เหมือนหญิงสาวนัยน์ตาเฉี่ยวคมตรงหน้าเด็กสาวตัวเล็กจะตั้งสติได้ก่อน สีหน้าปรับเป็นปกติติดเรียบนิ่งและดูท่าฉุนเฉียวเล็กน้อย ฟังจากเสียงพรูลมหายใจออกมาแรง ๆ มือเรียวสวยอีกข้างนั้นเสยผมหน้าขึ้นลวก ๆ ก่อนจะก้มลงมองคนตัวเล็กกว่า
“นานิกะ โอเตะสึได…”
“อะ เอ่อคือ…”
เพิ่งจะรู้สึกตัวได้ว่าลำคอแห้งผากก็ในตอนที่เปล่งเสียงแหบพร่าออกมา อึกอักไร้การตอบกลับบทสนทนา เนื่องจากเธอเองก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้านั้นพยายามพูดคุย ยืนทำท่าทางลนลานมีพิรุธจนถูกดวงตาสีดำเฉี่ยวคมหรี่มอง
สวยจัง
คำนี้ผุดขึ้นมาเมื่อเด็กสาวได้ตั้งใจมองคนตรงหน้า ส่วนสูงและหุ่นเพรียวราวนางแบบ ผมสีดำเงางามสลวยตรงยาวรับใบหน้าขาวผ่อง ริมฝีปากอวบอิ่มสีอ่อน และจมูกโด่งเป็นสันนั่นยิ่งเสริมให้ชวนมอง
“คะ คือว่า ฉะ ฉัน…”
“……”
“อึก…”
ก่อนจะได้พูดอะไรต่อ ขมับทั้งสองของคนไร้ความทรงจำกลับบีบตัวแน่นจนปวดหนึบ ในช่วงวินาทีที่หลับตาลง ภาพของความทรงจำที่พร่าเลือนเริ่มไหลเข้ามาภายในหัว เสียงขบขันคิกคักมั่นใจว่าเป็นของตนเอง บนทางเดินที่ใดสักแห่ง และเบื้องหน้าพบแผ่นหลัง… ของใครบางคน…
ภาพไร้การปะติดปะต่อนั้นค่อย ๆ เลือนหาย ไปพร้อมกลิ่นหอมที่เคยอบอวลรอบกาย
“เอ๊ะ… ทำไมไม่ได้กลิ่นแล้วล่ะ?” คิ้วบางขมวดมุ่นครุ่นคิดกับตัวเอง เงยขึ้นมองหน้าคนที่มองกันอยู่ก่อน
“เธอน่ะ จะจับข้อมือฉันอีกนานไหม?”
“คะ? ขอโทษค่ะ!!” เสียงลนลานเอ่ยขอโทษ รีบผละมือออกจากข้อมือคนสวยตรงหน้า “เอ๊ะ…”
“จะ เอ๊ะ อีกนานไหม?”
“ขะ ขอโทษ พอดีว่าฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”
“หืม เธอ… ว่ามาสิ แล้วเธอน่ะดูเหมือนจะอยู่มัธยมปลายสินะ พูดกับผู้ใหญ่ให้มีหางเสียงหน่อย” คนโตกว่ากอดอกขมวดคิ้วมองเด็กตรงหน้า
“คะ? ค่ะ!! พี่พูดกับหนูรู้เรื่องด้วย!!”
“เพิ่งจะรู้สึกตัวหรือไง คนไทยสินะเธอน่ะ”
“ค่ะ คือหนูหลงทางค่ะ หนูไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ไหน เมื่อกี้หนูรู้สึกตัวตอนไปยืนอยู่กลางสี่แยกตรงโน้น” ปลายนิ้วชี้ไปทางที่ตนเพิ่งวิ่งจากมา “แล้วอยู่ดี ๆ หนูก็มองเห็น… พูดไปคุณอาจจะคิดว่าหนูสติไม่ดี แต่หนูเห็นวิญญาณค่ะ ละ แล้วสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือความทรงจำค่ะ ตอนนี้หนูไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้กระทั่งชื่อตัวเอง ไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร มาจาก-”
“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ พูด” สองมือเรียวยื่นเข้าลูบต้นแขนปลอบเด็กตัวเล็ก
“คุณ… ช่วยหนูหน่อยได้ไหมคะ?”
“……”
คนไร้ที่พึ่งพา ไร้ความทรงจำ ไร้หนทาง กำลังเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า ทั้งที่เพิ่งพบกันได้ไม่ถึงสิบนาทีแท้ ๆ ในใจเด็กสาวภาวนาขอให้คนแปลกหน้าที่กำลังมองกันอยู่ด้วยท่างทางคิดหนักนั้น อย่าได้ใจร้ายตอบปฏิเสธกัน
ทว่าอีกใจกลับยอมรับได้หากถูกเมินเฉยต่อคำขอร้อง คงไม่มีใครกล้าจะช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกัน ทั้งยังมีท่าทีคล้ายไร้สติ รู้อย่างนี้คงดีกว่าหากไม่พลั้งปากพูดออกไปเสียหมดเปลือก ทำให้ดูเหมือนคนสติฟั่นเฟือนอย่างนี้
ดวงตาสีอ่อนช้อนขึ้นมองเว้าวอนขอความเห็นใจ จับจ้องใบหน้าสวยติดบึ้งตึงดูไม่สบอารมณ์ ส่งเสียงจิ๊ปากก่อนจะถอนหายใจลากยาว
“เฮ่อ! ถ้าฉันทิ้งเธอไว้ตรงนี้คงถูกตราหน้าว่าเป็นแม่มดใจร้ายสินะ”
“นะ นั่นสินะคะ เพราะงั้น… ช่วยหนูเถอะนะคะ”
“…. เธอนี่กล้ามากนะที่มาขอความช่วยเหลือกับคนแปลกหน้า ไม่กลัวฉันจะพาเธอไปขายหรือไง?” ริมฝีปากอวบอิ่มกระตุกยิ้มมีเลศนัย ขบขันในลำคอเสียงแผ่วเบา
“เอ๊ะ!! คุณเป็นคนไม่ดีเหรอคะ?”
“ถ้าฉันเป็นคนไม่ดี จะบอกเธอหรือไงว่าเป็นคนไม่ดี”
“ก็จริง…” เด็กไร้เดียวสาเอียงหน้าคิดตาม
“ความทรงจำหายไปงั้นเหรอ? มองเห็นวิญญาณงั้นเหรอ?”
“ฟังดูเหลือเชื่อใช่ไหมคะ” สีหน้าเจื่อนปรากฏขึ้นบนใบหน้าเด็กสาว สิ่งที่บอกออกไปคงจะฟังดูแปลกไม่น้อย
“อืม… ตามฉันมาสิ”
“คะ? ค่ะ!!”
“หยุดตะโกนเสียงดัง”
“ค่ะ!! อุ๊ปส์”
สองมือเล็กรีบยกขึ้นปิดปากตัวเองไว้แน่น กรอกสายตาไปมามองรอบกาย จึงสังเกตเห็นสายตามากมายที่หันมาจับจ้องสนใจเราทั้งสอง สายตาเหล่านั้นเพ่งพิศตั้งท่าไม่ไว้วางใจบ้างดูแคลนบ้าง ผู้คนตีวงกว้างถอยห่างอย่างกับว่าเราสองเป็นคนน่าสงสัย
แต่หากมองเพียงผิวเผิน หากได้ยินบทสนทนาที่ผ่านมา และความกระโตกกระตากของเด็กสาวแล้ว ไม่แปลกใจที่จะถูกมองด้วยสายตาอย่างนั้น
“ถ้าไม่รีบตามมาจะทิ้งไว้ตรงนี้นะ” เสียงติดรำคาญเอ่ยบอกเด็กตัวเล็ก
“ค่ะ”
เด็กสาวยิ้มเจื่อนให้กับการกระทำของตน สองขาเร่งก้าวเดินตัวลีบเจี๋ยมเจี้ยมตามหลังพี่สาวคนสวยไปต้อย ๆ ลอบมองคนสวยเบื้องหน้า ทั้งหุ่นสูงเพรียว ทั้งผิวขาวผ่อง ทั้งผมที่ตรงสลวยนั้น มองเพียงด้านหลังก็ยังรู้ว่าเป็นคนสวยจริง ๆ
“เอ๊ะ…”
คนเดินตามหยุดฝีเท้ามองนิ่งครู่หนึ่งนึก สะกิดใจ สงสัยบางสิ่ง…
สองข้างขมับปวดหนึบยามค้นหาสิ่งที่สะกิดใจให้นึกสงสัย พยายามอย่างไรกลับไร้คำตอบ ยิ่งฝืนข้างขมับยิ่งทำงานหนักเสียจนต้องหลับตาข่มความปวด ฝืนไปคงไม่ส่งผลดี คงต้องปล่อยให้เวลาค่อย ๆ คลายเรื่องในใจ และค่อย ๆ นำความทรงจำกลับคืน
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนปรือลืมขึ้นอีกครั้ง จุดรอยยิ้มละไม ออกตัวเดินตามคนตรงหน้าไป
“คุณคะ คุณไม่ใช่คนที่นี่เหรอคะ? เป็นคนไทยเหรอคะ? ทำไมถึงพูดไทยชัดล่ะคะ”
ไม่รู้เพราะอะไรแต่เด็กสาวเริ่มรู้จักตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย คิดว่าตัวเธอคงเป็นคนเจื้อยแจ้วพูดมากเสียน่าดู พินิจได้จากปากที่อยู่ไม่สุขหากปล่อยให้ความเงียบปกคลุม ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเพียงแต่มันเหงาปาก อดทนเงียบได้เพียงไม่นานก็อยากชวนคนแปลกหน้าคุยอีกเสียแล้ว
“เดินตามมาเงียบ ๆ ไม่ได้หรือไง?”
“อืม… อยากคุยนี่คะ”
“จิ๊ แม่ฉันเป็นคนไทย ส่วนพ่อเป็นคนญี่ปุ่น…”
“หืม…” ขาที่ยาวไม่สู้อีกคนก้าวยาวขึ้นให้ประชิดตัวคนข้างหน้า “พูดเสียงดังกว่านี้ได้ไหมคะ หนูไม่ค่อยได้ยินเลยค่ะ”
ไม่รู้ว่าเสียงจอแจรอบกายดังเกินไปหรือว่าพี่สาวคนสวยพูดเสียงเบาเกินไป เด็กสาวจึงจับใจความสิ่งที่พูดได้ไม่ดีนัก แผ่วเบาราวกับว่ากำลังกระซิบอยู่
“เฮ้อออ แม่ฉันเป็นคนไทย ส่วนพ่อเป็นคนญี่ปุ่น เคยไปอยู่ไทยช่วงประถมเลยพูดไทยได้ พอใจในคำตอบหรือยัง”
“อ่อออ ว่าแต่…”
คำถามต่อไปถูกกลืนลงลำคอ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเกิดสั่นไหวหวาดกลัว หันมองทางม้าลายกลางสี่แยกที่ตนเพิ่งวิ่งหนีจากมา ภาพติดตาของวิญญาณเด็กชายไร้ท่อนล่างอันน่าเวทนา เล่นงานคนเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าถอดสีก้มงุดมองพื้น ส่งมือเข้ากำชายเสื้อเชิ้ตขาวของคนด้านหน้า
“อะไรอีก” เสียงคล้ายว่าติดรำคาญเอ่ยถามเด็กด้านหลัง
“ขอจับหน่อยนะคะ”
“……”
“กลัว…”
“อืม” คำตอบเพียงสั้น ๆ ส่งให้เด็กที่ดูท่ากำลังหวาดกลัวอยู่อย่างปากว่าจริง ๆ
“ขอบคุณค่ะ”
เสียงถอนหายใจโล่งอกของคนไร้ความทรงจำ รีบปล่อยมือที่เข้ารบกวนคนเดินนำหน้า หลังพ้นจากสี่แยกอันสุดสยองขวัญ พรูลมหายใจไล่ความรู้สึก สูดลมหายใจเรียกขวัญกลับคืน ก่อนจะกลับมาเจื้อยแจ้วอย่างเคย
“คุณชื่ออะไรเหรอคะ?” เสียงใสเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง
“ก่อนจะถามชื่อคนอื่น ต้องบอกชื่อตัวเองก่อนไม่ใช่หรือไง?” เจ้าของดวงตาสีดำขลับผินหน้ามองเด็กตัวเล็ก
“ก็หนูไม่รู้นี่คะว่าตัวเองชื่ออะไร ความทรงจำไม่มีเลย”
“……”
“พระเจ้าใจร้ายนะเนี่ย แค่ชื่อหนูยังไม่บอกให้รู้ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
“โอโนะ อาซึกะ ชื่อฉัน”
“หนูต้องเรียกคุณว่ายังไงเหรอคะ?”
“อาซึกะ”
“เอ๋~ แบบนั้นจะดีเหรอคะ เรียกด้วยชื่อเล่นแบบนั้น”
“รู้ด้วยเหรอ?”
“เอ๊ะ!! นั่นสิคะ อยู่ดี ๆ ก็รู้ขึ้นมาเฉยเลย”
ทั้งที่ก่อนหน้าไม่รู้กระทั่งเสียงรอบกายเป็นภาษาอะไร ทว่าหลังจากรับรู้ชื่ออันไพรเราะ กลับรู้ในทันทีว่านี่คือ ภาษาญี่ปุ่น
“หึ”
“ให้หนูเรียกได้จริง ๆ เหรอคะ?”
“อืม” คนขี้รำคาญพยักหน้าตอบกลับ ก่อนจะหยุดฝีเท้าและหันหลังกลับไปมองเด็กช่างจ้อ “ฟังฉันนะ”
“ค่ะ”
“นี่ร้านของฉัน”
“คะ” ใบหน้าฉงนเงยขึ้นมองตามปลายเรียวนิ้วมือคนตรงหน้าที่กำลังชี้ป้ายชื่อร้าน “พายหอม…”
ชื่อร้านเบเกอรีที่เพียงแค่ยืนอยู่หน้าร้านก็ได้กลิ่นหอมของขนมปังอบสดใหม่ ถูกสะกดด้วยอักษรภาษาอังกฤษหากแต่อ่านออกเสียงเป็นไทยได้ ริมฝีปากยิ้มบางออกมาขณะมองชื่อนั้น เป็นชื่อที่น่ารักไม่สมกับบุคลิกเจ้าของร้านเอาเสียเลย
“ชื่อร้านน่ารักดีนะคะ”
“คิดอย่างนั้นหรอ… ฉันจะพาเธอเข้าไป แต่เราต้องตกลงกันก่อน”
“คะ?”
“เธอต้องนิ่ง ๆ ห้ามมาชวนคุย ฉันจะเดินตรงไปที่ประตู…”
“หืม?”
ใบหน้าบึ้งตึงติดรำคาญนิ่งค้างไปกะทันหันสร้างความแปลกใจให้เด็กสาว เอียงหน้ามองฉงนแล้วจึงหันตามสายตาไปยังด้านข้างทางร้านเบเกอรี ปลายหางตาเหลือบเห็นกระจกเงาทรงกลมถูกตกแต่งไว้อาจเพื่อให้ลูกค้าได้ถ่ายภาพ ไม่ทันที่เด็กสาวจะได้ชื่นชมการตกแต่งอย่างเต็มตา กลับถูกมือเรียวเข้าจับปลายคางให้หันไปสบสายตาสีดำนุ่มลึกคู่นั้น
“เธอน่ะ” น้ำเสียงนุ่มจริงจังไร้ความหงุดหงิดมาพร้อมสีหน้านิ่งเรียบ
“คะ?”
“อยากได้ความทรงจำคืนสินะ”
“ค่ะ”
“ฟังฉันให้ดี ฉันจะช่วยเธอเอง ฉันไม่รู้ว่าจะช่วยเธอได้มากน้อยแค่ไหน แต่…”
“……”
“ฉันจะช่วยจนกว่าความทรงจำของเธอจะกลับคืนมาจนครบ”
“……”
น้ำเสียงที่ฟังดูจริงจังขึ้นฉับพลัน นัยน์ตาสีดำสวยคู่นั้นที่สื่อความจริงใจ มุมริมฝีปากทั้งสองที่กำลังยกยิ้มละไม ทำให้คนหวาดกลัวและอ่อนไหวเผยความรู้สึกออกมา พยายามเก็บซ่อนความรู้สึกไว้กลัวถูกรำคาญและอาจถูกทอดทิ้งไว้กลางทาง ม่านน้ำตาเอ่อคลอออกมา ไม่ใช่จากความพรั่นพรึงหากแต่เป็นความอุ่นซ่านภายในอก
“ขอบคุณค่ะ” เสียงใสสั่นเครือเอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้มบาง “ทำไมถึงยอมช่วยเหรอคะ?”
“เห็นฉันแบบนี้ ฉันน่ะขี้สงสารพอตัว” มือเรียวละจากใบหน้าเล็ก “เฮ้ออออ แต่บอกไว้ก่อนเลยฉันไม่ใช่พวกใจดีแถมปากร้าย คิดให้ดีว่าอยากให้ฉันเป็นคนช่วยไหม ถ้าอยากก็ตามเข้าร้านมาเงียบ ๆ ถ้าไม่ ก็ไปซะ…”
“ค่ะ!! ช่วยหนูหน่อยนะคะ”
“จิ๊”
คนยิ้มขำคิกคักทำตามคำสั่งของพี่สาวคนสวยอย่างว่าง่าย เดินตามเข้าไปภายในร้านเบเกอรีส่งกลิ่นหอมอบอวลจนท้องเริ่มส่งเสียงร้องโครกคราก สองมือเล็กลูบท้องป้อย ๆ คลายความหิว ลองล้วงทุกกระเป๋าในร่างกาย ไม่พบแม้กระทั่งเศษเหรียญสักเหรียญ ถอนใจเดินคอตกตามพี่สาวต่อไป
“เธอเข้าไปยืนรอตรงนี้ก่อน” ประตูหลังร้านทางขึ้นไปชั้นสองถูกเปิดรอคนตัวเล็ก “อย่าเพิ่งขึ้นไปข้างบนนะ ยืนรอตรงบันไดนี่แหละ เข้าใจไหม?”
“รับทราบค่ะ” คนหิวเดินหน้าซังกะตายขึ้นบันไดไปสองก้าว ก่อนหันกลับมาหาพี่สาวคนสวย “นั่งรอได้ไหมคะ?”
“กวนหรือไง จะนั่งจะยืนก็ตามใจ”
“แหะ ๆ”
“อย่าไปไหน อย่าออกมาเดินเพ่นพ่าน อย่าซน อันนี้สำคัญ อย่าให้ใครเห็นเธอเด็ดขาด ฉันขี้เกียจตอบคำถามว่าเธอเป็นใคร”
“รับทราบค่ะ”
“เดี๋ยวมา”
“โอ๊ะ!! อาซึกะ”
“อะไร?” คนที่กำลังจะปิดประตูไปจัดการธุระ กลับต้องชะงักมือยืนรอฟังเด็กตัวเล็ก
“อาซึกะ ที่แปลว่ากลิ่นหอมใช่ไหมคะ?”
“……”
ดวงตาสีดำขลับเบิกโพลงขึ้นเล็กน้อย มองรอยยิ้มกว้างของเด็กสาวตัวเล็กตรงหน้า จับจ้องรอยยิ้มสดใสนั่นไม่ละสายตา
“มิน่าล่ะตัวคุณถึงได้หอม… เอ๊ะ…”
เด็กสาวที่ไร้กระทั่งความทรงจำ ไม่รู้กระทั่งชื่อของตัวเอง ฟังภาษาจากคนรอบกายไม่เคยได้ศัพท์ ทว่าตอนนี้ทำไมถึงได้รู้ความหมายของชื่อพี่สาวตรงหน้าที่กำลังหันหลังเดินจากไป
ทำไมล่ะ…
“แล้วนี่… เรารู้ความหมายได้ยังไงนะ…”
To be continued.