หมายเพียงได้…ใกล้จันทร์

ตอนที่ 1

ตอนที่ 1

หน้าซุ้มประตูเมืองกะรัตมีผู้คนต่อแถวแน่นขนัดจนดูขัดตา เหตุเพราะโจรป่าก่อความไม่สงบในบริเวณใกล้เคียง กระทบมาถึงเขตความเจริญให้เฝ้าระวังผู้ต้องอาญาปะปนกับชาวบ้านแฝงตัวหลบหนี กระทั่งเหตุนี้รู้ถึง ‘ขุนไกรศร’ ผู้ตรวจการนคร คำสั่งลับจึงถูกส่งให้มือดีของท่านขุนไปจัดการเสียสิ้นเรื่อง

แต่ทว่าสถานการณ์ที่หน้าเมืองยามรุ่งสางกลับมิได้คลี่คลายลงแต่ประการใด

เพราะนายทวารมัวไปดักใครผู้หนึ่งอยู่เช่นนั้น

“พวกพี่ให้ข้าเข้าไปพบท่านขุนก่อนเถิด ประเดี๋ยวก็รู้ความเองว่าข้าหาใช่โจรป่าห้าร้อยไม่”

อ้ายแดนยกมือไหว้ท่วมหัวขออย่างจวนตัวให้เจ้าหน้าที่ปล่อยเข้าเมือง ก็ตั้งแต่ออกจากรังโจรโค่นหัวหน้ามาได้ อ้ายแดนยังไม่มีภักษาหารตกถึงท้อง ร่างกำยำใช้เรี่ยวแรงไปกับการรบหมดค่ำจรดเช้า ได้แต่อาศัยเสาไม้ไผ่ค้ำยันพื้นไว้จนสภาพไร้สง่าราศีเยี่ยงยาจก แล้วอย่างนี้นายทวารจักเชื่อหรือว่าไอ้หนุ่มหุ่นล่ำดำทะมึนคนนี้เป็นคนสนิทของท่านขุนไปได้

“จักให้เชื่อได้กระไรวะ! ก็ดูเนื้อตัวเอ็งโสโครกอย่างกับนอนในโคลนคอกควาย มีสง่าราศีที่ใดถึงจักมาตู่ว่าเป็นมือขวาของขุนไกรศรเยี่ยงนี้

ไม่รู้ล่ะ! เอ็งรออยู่ชายกำแพงด้านนอกก่อน ให้คนของท่านขุนมาเป็นประกันเอ็งแล้วถึงจักค่อยเข้าไปได้”

“…”

ให้มันได้อย่างนี้สิ…ถ้าไม่ติดว่าลุยโคลนออกจากป่ามาในสภาพไม่น่ามอง คงจักพอต่อรองได้ว่ายศที่ประดับตัวเป็นถึงนายพัน เช่นนั้นแล้วนายทวารผู้น้อยที่เพิ่งบรรจุคงยังเกรงบารมีกันบ้าง หากแต่อ้ายแดนก็หน้ามืดเพราะความหิว คิดการสิ่งใดไม่ออกแล้ว เป็นแบบนี้พวกพี่ทหารก็ไม่ได้รู้กัน ว่าอ้ายแดนคนนี้เองที่จักทำให้ทหารเฝ้าประตูไม่ต้องอยู่ประจำหน้าที่อย่างเคร่งครัดกันต่อไปแล้ว

“อย่างนั้นพอจักให้ใครไปแจ้งข่าวท่านขุนที่เรือนได้รึไม่?

ว่าบัดนี้เจ้าหัวหน้ากลุ่มโจรได้ถูกจับมัดไว้บนยอดไม้ที่ชายป่าตะวันตก ให้เร่งส่งคนของทางการไปล้อมจับพวกลูกสมุนเอาไว้ในตอนที่พวกมันยังระส่ำระสายหาหัวหน้าไม่เจอ ข้าสะกดอาคมลงไว้จักคลายในอีกไม่กี่เพลานี้ หากไปได้เร็วก็จักล้อมจับพวกมันได้ทั้งหมู่คณะ”

เหล่านายประตูฟังแล้วก็มองหน้ากัน หากงานนี้สำเร็จเห็นจักเป็นความชอบก้อนใหญ่ แต่อย่างไรแล้วถ้าคำเหล่านั้นเป็นคำพูดโป้ปด ก็จักทำให้กำลังของคนเฝ้าเมืองลดลงไปชั่วครู่

“หัวหมู่จักเชื่อคำไอ้หนุ่มนี่รึ?”

นายทหารหันมาถามหัวหน้างานตน ผู้ให้คำตอบเป็นอาการส่ายหัว

“อย่างไรก็ยังปล่อยเข้าเมืองมิได้ดอก แดนไหนเป็นนายพัน? ข้าก็เพิ่งมาทำงานหน่วยนี้ยังไม่เคยเห็นหน้า

เอาเป็นว่าเอ็งไปนั่งต่อท้ายริมกำแพงกับพวกยาจกฝั่งกระโน้นก่อน จนกว่าคนของท่านขุนมายืนยันตัวให้ ก็จักได้รู้กันทีเดียวว่าที่พูดมาทั้งหมดนั่นหาใช่เอ็งปั้นน้ำเป็นตัว แต่เรื่องที่ให้แบ่งกำลังไปจับโจร พวกข้าจักเร่งดำเนินการให้โดยเร็ว”

“อ๋า…” อ้ายแดนอ้าปากหวอ

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่เพลานี้ข้าอยากขอข้าวสักห่อ เนื้อสักกระทงพอให้ข้ารองท้องก่อนได้รึไม่ ข้าเองจักยืนไม่ไหวแล้วพี่ท่าน~”

ไม่ว่าเปล่าเท่านั้น เสียงกระเพาะคร่ำครวญหาอาหารก็แว่วมาจากท้องนายพันสมอ้างเป็นการสำทับ

“เอ็งไปต่อท้ายแถวโน่นนะ”

คำขอของอ้ายแดนพาให้นายทวารชี้มือผายไปยังชายกำแพงที่เหล่าขอทานนั่งเรียงรายกันอยู่เต็ม

“นั่งแล้วจงปั้นสีหน้าให้เวทนาน่าสงสารที่สุด ยื่นมือออกมาข้างหน้า หวังว่าจักมีผู้ใจบุญผ่านมาเห็น

ข้าก็ช่วยเอ็งได้เท่านั้นแหละไอ้หนุ่มเอ๊ย”

จักว่ากล่าวกระไรได้ แม้แต่นายทวารที่ยังไม่ออกกะ ก็พากันท้องกิ่วอยู่ที่หน้าเมืองกันทั้งผองนี่แหละ อ้ายแดนก็จนใจจักเซ้าซี้ จึงหลบไปนั่งคู้ตัวในมุมหนึ่งรอให้ขุนไกรส่งคนมายืนยันฐานะให้พ้นจากความทุกข์

แหงนหน้ามองฟ้าตอนนี้ก็เห็นเมฆเป็นรูปปลาปิ้ง

อ้ายแดนได้แต่ตัดพ้ออยู่ในใจ ที่เฝ้าทำคุณแผ่นดินมาก็หลาย กว่าจักได้ไต่เต้าขึ้นเป็นนายพัน ตัวมันไม่นึกฝันว่าจักต้องมาจนตรอกอยู่หน้าซุ้มประตูเมือง ดวงตาปรือมองแผ่นฟ้าได้เลือนรางใจคิดว่าฝ่ากองโจรมาได้ สุดท้ายมาจบด้วยความอดนี้ช่างน่าสังเวช

โครก

ขุนไกรอยู่ไหน ช่วยอ้ายแดนด้วย~

เพลานั้นเอง…

“เอ้านี่…ฉันให้”

“!?”

อ้ายแดนที่นั่งทอดอาลัย กลับโงหัวขึ้นมาได้เมื่อรอบกายซึ่งมีเพียงกลิ่นไอแดดถูกแทรกไว้ด้วยกลิ่นหอมหวาน กลิ่นหอมของขนมตาลโชยเข้ามาใกล้ปลายจมูก เพรียกหาให้นายพันหนุ่มเงยหน้าขึ้นจนสบกับดวงตาเรียวของขุนนางน้อยร่างสันทัด

กลิ่นหอมรัญจวนลอยมาให้สัมผัสอีกครั้ง ซึ่งหาได้มาจากขนมหวานที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้ ดอมดมอยู่สักพักก็ยิ่งแน่ใจว่าความหอมนั้นมาจากกลิ่นกายและผิวนวลละเมียด สะกดอ้ายแดนให้เคลิบเคลิ้มจนนิ่งงันไปครู่ใหญ่ ก่อนอีกฝ่ายผู้ใจบุญจักถามขึ้นอีกหน

“ไม่รีบรับไป…ไม่หิวรึ?”

ขนมตาลสีเหลืองนวลโบกล่ออยู่ตรงหน้า ทำให้ริมฝีปากอ้ายแดนเผยออ้าขึ้นอย่างลืมตัว

“หิวจ้า ข…ขอบคุณนะ”

จักงับจากมือก็เกรงใจ อ้ายแดนละล่ำละลักรีบรับขนมเข้าปากอย่างกระดากอาย แต่เมื่อได้สัมผัสรสขนมอย่างเต็มคำ สีหน้าผู้หิวโหยก็ลิงโลดขึ้นในฉับพลัน

“รสมือเลิศนัก! ซื้อหาจากร้านไหนหรือขอรับ เข้าเมืองแล้วฉันจักไปซื้อบ้าง”

เจ้าของขนมแย้มยิ้มเพียงบาง ๆ “ขนมฉันทำเอง”

ว่าแล้วขุนนางน้อยก็ยื่นขนมให้แดนไปทั้งตะกร้า

“ถ้าชอบก็กินเยอะ ๆ นะ ใช้ตะกร้านั่นบังแดดเสียก็ได้ ฉันยกให้”

ได้ยินดังนั้นอ้ายแดนผู้หิวไส้กิ่วก็ถึงกับตาลุกวาว แต่เมื่อมองไปยังสีหน้าของหนุ่มน้อยผู้มีพระคุณเข้าแล้ว ใจกลับอดมิได้ที่จักไต่ถาม

ก็คนดี ๆ ที่ไหนเขาให้ทานกันด้วยดวงตาเศร้าหมองเพียงนั้นเล่า

“ของดีเยี่ยงนี้ คุณท่านยกให้ฉันจักไม่เสียของเปล่ารึ?”

สำรับอย่างดีที่ดูแล้วน่านำไปรับรองคนสำคัญ อ้ายแดนไม่เข้าใจนักว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงมอบให้ตนอย่างง่ายดาย และการยิงคำถามนั้นออกไป ก็ยิ่งทำให้รอยยิ้มของขุนนางน้อยเจื่อนลงกลายเป็นซีดเซียว ดวงตาเรียวงามดั่งภาพเขียนพลันหรี่ลงเพราะเจ็บใจ พร้อมกับมือที่ลูบไปบนผ้าแพรไหมที่ใช้พันคอ

“ให้กับท้องที่ยังรับ ดีกว่าอิ่มแล้วบังคับให้ฝืนกินเข้าไป

ฉันให้นายน่ะดีแล้ว…ให้กับผู้เห็นประโยชน์ไม่ดีกว่ารึ?”

เมื่อตะกร้าของหวานกลายเป็นสิ่งที่ทำอีกฝ่ายช้ำใจ อ้ายแดนก็รีบรั้งมันมากกกอดไว้แน่น ชายหนุ่มจนใจจักทราบว่าเหตุใดผู้มีคุณถึงทำกิริยาราวกับจักร่ำไห้ แต่เขารู้ได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…

“ฉันรับเองจ้า…ใครไม่รับก็ช่างเขาปะไร น้ำใจของคุณท่านฉันรับเอง”

ว่าไปดังนั้นแล้วอ้ายแดนก็ใช้สองมือเปิบขนมตาลเข้าเต็มปาก เปล่งคำชมออกมาไม่ขาดหู

“รสมือดีที่หนึ่งเลย อร่อย อร่อยมากขอรับ!”

นายพันหนุ่มยิ่งกินก็ยิ่งติดรส กินเพลินจนขนมเกือบหมดตะกร้า ขนาดว่าขอทานข้างเคียงจักขอเอี่ยวก็ยังปัดป้องไม่ยอมแบ่งผู้ใด ทำให้ชายหนุ่มใจบุญแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย แม้จักเป็นยิ้มที่ขมเฝื่อนก็ตาม

อ้ายแดนเปิบขนมจนเต็มคราบ เมื่อหันกลับมาอีกที หนุ่มน้อยที่รูปโฉมงดงามราวตุ๊กตาผู้นั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว เหลือไว้เพียงตะกร้าเปล่าและกลิ่นหอมหวานที่ยังอ้อยอิ่งตามลม รอยยิ้มขมเฝื่อนยังติดในความทรงจำของนายพันหนุ่ม ฝังแน่นยิ่งกว่ารสขนมแสนอร่อยบนปลายลิ้น

แดนหวังว่าตนเองจักมีโอกาสได้ทำให้รอยยิ้มของเขาผู้นั้นเบิกบานได้มากกว่านี้

และนั่นคงจักเป็นรอยยิ้มหวานที่แสนตราตรึงได้ทีเดียว

ท้ายที่สุดก็มีนายทหารมายืนยันตัวอ้ายแดนให้เข้าเมืองจนได้ เมื่อไปถึงเรือนขุนไกรศรก็ทำเอาท่านขุนลมแทบจับ ไล่มันไปอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนขึ้น อ้ายแดนบัดนี้คืนยศเป็นนายพันหนุ่มท่าทางภูมิฐาน เมื่อล้างคราบโคลนออกแล้วก็ถือได้ว่ามันเป็นชายที่สูงใหญ่ คิ้วเข้มตาคมสมชาติทหารดี เมื่อจัดการเนื้อตัวจนเรี่ยมเร้ อ้ายแดนก็เดินอาดเข้ามาพบขุนไกรที่เรือนรับรอง

เจ้าหนุ่มมือขวานั่งบนตั่งฝั่งตรงข้ามเสมอในระดับเดียวกับผู้ตรวจการนคร คงเป็นภาพที่เห็นได้แต่ในเรือนยามที่ปราศจากสายตาสอดรู้ของผู้คนเท่านั้น แถมมันยังไม่หันหน้าสบตาเจ้านายแม้สักน้อย ปล่อยให้ท่านขุนต้องเป็นฝ่ายเอนหน้ามางอนง้อประหนึ่งเมียรัก

แต่หากใครคิดไปในทางนั้น คงต้องเรียกว่าผิดผีอย่างยิ่ง

“นี่เอ็งยังไม่หายขุ่นใจที่ข้าไปรับตัวช้าอีกรึ?”

ขุนไกรโบกปัดพัดวีอ้ายแดนที่นั่งดูดน้ำจากลูกมะพร้าวให้คลายร้อน แต่สายตาเจ้าหนุ่มยังค่อนขอดมองท่านขุนนางอย่างไม่ไว้ใจ

“ไหนว่านับถือกันเป็นพี่เป็นน้อง พี่น้องเยี่ยงเรือนกาสะลองซ้องปีบรึ ท่านขุนถึงปล่อยให้ข้านั่งตากแดดจนเกรียมอยู่เกือบชั่วยาม นี่ถ้าไม่ติดว่าท่านให้ข้าวแม่ศรีนวลแทนข้าแล้ว ข้าจักหนีขึ้นเรือนหลบหน้าเสียเลยสักสามสี่วัน”

โถดูมันงอแง หากก่อนนี้ไม่ไปให้ดูแม่ศรีนวลแมวรักให้มันถึงเรือนแล้วไซร้ ป่านนี้อ้ายแดนคงจักงอนนายท่านตุปัดตุป่องเป็นแน่ ท่านขุนเห็นสภาพแล้วก็อ่อนใจ ได้แต่ตบบ่าน้องชายผู้เรียกง่ายใช้คล่อง แต่ก็เป็นเพราะงานนี้อ้ายแดนทำประโยชน์ไว้มาก และน่าเสียดายในเพลาเดียวกันที่มันดูจักไม่ได้ผลดีจากความชอบที่กระทำไว้

“เอ็งปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว ถึงจักเป็นคนอื่นเขาที่ได้หน้าในผลงานไป แต่ข้าพูดได้เต็มปากว่าเอ็งเป็นผู้ทำให้แผนการลุล่วง ความดีความชอบมีมากกว่าคนอื่นคนใด ดังนั้นหากหลวงไม่เห็นใจให้ยศให้ตำแหน่ง งานนี้ข้าก็จักเป็นผู้ตกรางวัลให้เอง

ว่ามาเลยอ้ายแดนน้องรัก…อยากได้อะไรเป็นสินน้ำใจให้ใจชื้นหายเหนื่อย ขุนไกรผู้นี้จักมอบให้”

ตามจริงอ้ายแดนก็หาใช่ผู้ฝักใฝ่ลาภยศ เมื่อรู้ว่าเรื่องด่วนที่ตนได้จัดการถึงคราวลุล่วงแล้วก็มิได้คิดว่าเป็นความชอบแต่อย่างใด มิได้น้อยเนื้อต่ำใจว่าใครจักได้ดีจากผลงานตน เมื่อท่านขุนใจดีหมายจักตกรางวัลปลอบขวัญเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงครุ่นคิดอย่างหนัก

“นึกไม่ออกขอรับ” อ้ายแดนตอบตาใส ถึงกับทำให้ท่านขุนผงะแทบตกม้านั่ง

“นึกไม่ออกได้เยี่ยงไรวะ นี่เอ็งไม่มีของที่อยากได้เลยเชียวรึ??”

เจ้าหนุ่มสวนขึ้นทันควัน

“เรือนก็มีอยู่ ม้าก็มีขี่ ที่ดินและเบี้ยหวัดก็ได้รับจากหลวงอยู่ทุกเมื่อ ข้ากำพร้าตั้งแต่เด็ก ญาติที่ไหนก็ไม่เหลือเชื้อไขให้ต้องดูแล มีแค่แม่ศรีนวลตัวเดียวก็เลี้ยงง่ายไม่ล้างไม่ผลาญ ขาดเหลือสิ่งใดข้าก็วิ่งมาเบิกที่เรือนท่านขุน หาได้มีความลำบากไม่”

“…”

ก็จริงของมัน…ขุนไกรถึงกับปวดหัวเมื่อตระหนักได้ว่าตนคงเลี้ยงดูมันดียิ่งกว่าลูกน้องผู้อื่นอยู่มาก แต่ก็เพราะเอ็นดูในความสัตย์ซื่อและอดทนของอ้ายแดนมัน จึงอยากเห็นความก้าวหน้าของไอ้หนุ่มผู้นี้ต่อไป

“จักมาฝากผีฝากไข้แต่กับเรือนข้าได้กระไรวะ? เรื่องในเรือนเอ็งเหตุใดไม่หาเมียตบแต่งไว้เป็นตัวเป็นตน จักได้ช่วยกันผลิตทายาทสร้างรากฐานครอบครัวให้แผ่ขยายออกไป ฝึกฝนความรับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายไม่ให้เสียชาติเกิด”

พูดไปแล้วก็น่าคิด ทั้งที่ในแผ่นดินก็มีคู่หมายให้ครองรักได้อยู่มาก อย่างธรรมเนียมที่สร้างมาคู่กันระหว่าง ‘อัลฟา’ และ ‘โอเมกา’ แต่กับอ้ายแดนนายพันหนุ่มอัลฟามากด้วยความสามารถ กลับไม่เคยมีข่าวว่าติดพันโอเมกาเรือนไหนจนมีแววได้ตบแต่งเป็นเมียเลยสักคน

“จักไม่ให้เสียชาติเกิดคือต้องมีเมียหรือขอรับ??”

ถามมาได้…ราวกับมันไม่รู้ว่าชาวบ้านเขาทำลูกกันอย่างไรปานนั้น

“เออสิวะ! พอเป็นผัวเป็นพ่อคนแล้ว เมื่อนั้นเอ็งถึงจักเรียกว่าทำหน้าที่ผู้ชายได้สมบูรณ์”

“แล้วถ้าโสดเมียตายอย่างท่านขุนจักทำเยี่ยงไร?” มันย้อนถามจนทำเอาท่านขุนกระแอมไอ

“ดวงกินเมียอย่างข้าไม่นับโว้ย ถือว่ายังไม่เจอคู่สมพงศ์

แล้วนี่ตกลงเอ็งจักเอาไหมล่ะเมีย?”

ขุนไกรกล่อมมาขนาดนี้มีหรืออ้ายแดนจักไม่คล้อยตาม

“เอา” นายพันหนุ่มแสดงเจตจำนงอย่างหนักแน่น ถึงกับตบเข่าตนเองฉาดใหญ่

“แล้วข้าต้องไปหาจากไหน ขอลูกเรือนผู้ใดเล่า?”

นั่นน่ะสิท่านขุนเงียบนิ่งไปครู่ใหญ่ จริงอยู่ที่อยากให้ลูกน้องเป็นฝั่งเป็นฝา แต่จักหาเยี่ยงไรให้ทันใช้ทันกาล เป็นคู่บุญที่ส่งเสริมกันให้เจริญ ท่านขุนกลัวว่าเจ้ามือขวาของตนจักต้องไปกราบกรานบนขออีกหลายวัด

อย่ากระนั้นเลย…

“ก็จากในเรือนข้านี่แหละ เอ็งถูกใจคนไหนก็เลือกเอาไปสักคน”

“คนใดก็ได้รึ??”

ท่านว่ามาเช่นนี้อ้ายแดนก็คิดหนัก ตลอดมาเขาเห็นลูกน้องในเรือนเจ้านายเป็นเหมือนเพื่อนร่วมงานและญาติพี่น้อง ครั้นจักขอใครมาร่วมหลับนอนก็กระดากใจที่จักเลือก

แต่นั่นเพราะนายพันหนุ่มไม่นึกว่าคนผู้หนึ่งจักเดินขึ้นเรือนของขุนไกรศรมา

“เอาคนผู้นั้น!”

“เฮ่ย!?”

“!?”

ท่านขุนหน้าถอดสีในทันใด เมื่อปลายนิ้วของอ้ายแดนชี้ไปยัง ‘คุณจันทร์’ ขุนนางฝ่ายธุรการที่ร้อยวันพันปีก็ไม่ขึ้นมาหาท่านถึงเรือน ไม่นึกว่าการมาหาครานี้จักพาให้เรื่องราวบานปลายไปใหญ่โต

ก็แล้วเจ้าหนุ่มนายพันจักยังมีใจให้ใครอื่นอีกได้ ในเมื่อคุณจันทร์คือคนใจงามที่มอบขนมตาลแก่เขาในยามยากก่อนหน้านี้

ติดที่ฝ่ายคุณจันทร์เองก็จำแดนในสภาพเนื้อตัวสะอาดสะอ้านมิใคร่ได้ ทั้งเมื่อเห็นกิริยารุ่มร่ามชี้มาทางตนอย่างไม่ให้เกียรติ ก็พานมุ่นคิ้วก้มหน้าเดินหายเข้าไปรอท่านขุนในห้องหนังสือ ทิ้งให้สองหนุ่มที่ยังคุยธุระค้างเติ่งนั่งเหลอหลาทำตัวไม่ถูก

“ข้าพูดกระไรผิดไปรึ?”

ขุนไกรถอนหายใจหนัก “ผิดอย่างแรงเลยอ้ายแดนเอ๋ย”

“แต่ข้าชอบเขาจริง ๆ นะขอรับ” อ้ายแดนตอบไปด้วยสีหน้าซื่อ “หากนับผู้มีคุณในชีวิตข้ารองจากท่านขุน ก็เห็นแต่เพียงขุนนางน้อยท่านนั้นที่ข้าอยากดูแลเอาใจใส่ หรือท่านขุนเห็นว่าคนจรหมอนหมิ่นเช่นข้าน้อยจักหาผู้ใดที่งามพร้อมทั้งรูปกายและจิตใจได้เท่าเขาผู้นั้นอีก?”

คำของเจ้าหนุ่มทำให้ผู้เสนอเงื่อนไขตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ท่านขุนเองก็หาได้ทราบว่าระหว่างทั้งสองไปมีบุญคุณต่อกันตั้งแต่ปางไหน ท่านรู้เพียงว่าความรักครั้งนี้สานต่อได้ยากนัก

“ถึงจักเป็นโอเมกาแต่คุณจันทร์เขาก็เป็นถึงเจ้าหน้าที่ในกรมเชียวนะ แค่ระดับนายพันตัวน้อย ๆ อย่างเอ็ง อย่าว่าแต่หาเลี้ยงเขา แค่ลำพังค่าสินสอดจักจ่ายไหวรึ?”

“เช่นนั้นไยท่านขุนถึงบอกข้าว่าแต่งเมีย ถือว่าฝึกความรับผิดชอบเล่าขอรับ?”

ถามไปตามที่คิดแล้วอ้ายแดนหันไปหยิบของสิ่งหนึ่งที่ติดมือมาตั้งแต่ครั้งออกจากรังโจร

และสิ่งนั้นถึงกับทำให้ขุนไกรศรเบิ่งตาโต

“หาใช่ว่าข้าไม่คิดถึงชีวิตครอบครัวในอนาคต ของชิ้นนี้ข้าเองก็หมายมั่นจักเอามาให้ท่านขุนช่วยพิจารณา ไม่แน่ว่าพวกโจรอาจขโมยมาจากเรือนอื่น หากนำไปขึ้นเงินรางวัลก็คงได้ทรัพย์มาไม่น้อย

หวังว่าจักเพียงพอต่อค่าสินสอดสู่ขอคุณจันทร์นะขอรับ”

ยิ่งกว่าพอเสียอีกกับสิ่งที่อ้ายแดนนำออกมาอวดแก่สายตา

“นี่เอ็งไม่รู้รึว่าเครื่องทองชุดนี้ถูกลักออกจากท้องพระคลังหลวงไปหลายปี ท่านมีคำสั่งให้ออกตามหาเป็นเพลานาน หากใครตามกลับมาได้ก็จักได้เลื่อนขั้นบรรดาศักดิ์

งานนี้อย่างน้อย ๆ เอ็งก็ได้ขึ้นเป็นถึงนายหมื่นเลยหนาอ้ายแดน!”

ท่านขุนไกรศรถึงกับโพล่งขึ้นมาเสียงดัง แต่เจ้าหนุ่มที่เพิ่งได้ลาภลอยกลับยังตีสีหน้ามึน

“แบบนี้ก็สมฐานะ แต่งเมียได้แล้วสิขอรับ?”

“…”

ความดีใจของท่านขุนหายวับไปอย่างฉับพลัน เพราะดูเหมือนอ้ายแดนมันจักไม่ยอมถอดใจจากเรื่องคุณจันทร์ง่าย ๆ

“อ้ายแดนเอ๊ย…อายุแค่นี้ขึ้นเป็นถึงนายหมื่นแล้ว อย่างเอ็งหากจักแต่งบุตรหลานตระกูลดีจากเรือนใดก็คงไม่มีใครดูแคลนเป็นแน่

ไยเอ็งจักหมายมั่นกับคุณจันทร์เช่นนี้ รึเอ็งไม่เห็นว่าที่คอเขามีรอย?”

เหตุนี้ต่างหากเล่าที่ขุนไกรเฝ้ากังวล เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าการมีผ้าแพรประดับคอในหมู่บุรุษโอเมกา นั่นเป็นสัญญาณว่าบุรุษน้อยผู้นั้นมีคู่หมาย

และในกรณีของคุณจันทร์ คู่หมาย…มิได้หมายรวมถึงการอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอน

“เอ็งอย่าหาว่าข้ากีดกันเลยนะอ้ายแดน ข้าหาได้เดียดฉันท์คุณจันทร์ไม่ ข้ากับเขาเห็นกันมาแต่เด็ก นับเป็นน้องชายได้อีกคน

แต่หน้าที่การงานเอ็งกำลังรุ่งเรือง ข้าอยากให้เอ็งตรึกตรองดูให้ดี มันจักคุ้มกันหรือหากต้องแต่งผู้มีราคีให้มาเป็นแม่ศรีเรือนอย่างนั้น”

ว่าที่นายหมื่นนิ่งงันไปครู่ใหญ่ หาใช่ว่าตัวเขาไม่เห็นตั้งแต่รับขนมที่หน้าเมือง เรื่องผ้าแพรที่คอคุณจันทร์ประกอบกับท่าทางทุกข์ใจเหมือนไร้ตัวตนในสายตาคนรัก อ้ายแดนรู้ดีว่ามันหมายถึงสิ่งใด

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม…

“มีรอยรึไม่ ข้าน้อยก็ไม่เห็นว่าคุณค่าในตัวของเขาผู้นั้นจักลดลง

หรือแค่เพราะความมักง่ายของคนได้แล้วทิ้ง ตัวผู้ถูกกระทำจักต้องเป็นฝ่ายแบกรับไปตลอดชีวิต

ท่านขุนไม่คิดว่าคนดีอย่างคุณจันทร์สมควรได้ครองเรือนอย่างมีเกียรติและมีความสุขหรือขอรับ?”

“อ้ายแดน…” ขุนไกรศรปรามเสียงหนัก “เอ็งยังไม่รู้เรื่อง อย่าเที่ยวพูดไป”

สีหน้าของฝ่ายเห็นค้านยังคงขึงขัง

“ข้าอาจไม่รู้จักคุณจันทร์มากพอ แต่อย่างน้อยข้าก็มิใคร่เห็นคนที่ตนห่วงหาต้องมีชะตากรรมเช่นเดียวกับมารดาของข้า หรือท่านขุนลืมไปแล้วว่าอ้ายแดนคนนี้เกิดมากำพร้าได้อย่างไร?”

“…”

ครานี้กลับเป็นฝ่ายขุนไกรศรที่นิ่งอึ้ง ครั้งนึกถึงเรื่องเก่าเกี่ยวกับประวัติอีกฝ่ายแล้ว ข้อกังขาที่มีอยู่ก็เหมือนจักงดเว้นไว้แค่นั้น

“หากวันนั้นข้าโตพอ ส่งเสียงร้องบอกแม่ได้ว่านางไม่ผิดที่อุ้มท้องตัวคนเดียว ไม่ผิดที่ถูกบิดาไร้รักทิ้งขว้างไม่รับผิดชอบ ข้าคงรักษาชีวิตหนึ่งเอาไว้ได้

วันนี้หากตัวข้าเองถือว่าเป็นชายอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว ขอให้ข้าได้ช่วยเยียวยาให้คุณจันทร์ เป็นสามีที่ดีให้กับเขาได้ไหมขอรับ?”

ไม่ว่าเปล่าเท่านั้น ว่าที่นายหมื่นถึงกับลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าขุนไกรศร

“อ้ายแดน เอ็งนี่…” เห็นท่าทีมุ่งมั่นดังนั้นท่านขุนก็ยิ่งลำบากใจ

“เฮ้อ…เอาเถิด อย่างไรวันนี้เอ็งกลับไปก่อน ส่วนเรื่องคุณจันทร์ ข้าจักหาทางพูดให้”

“จักรอฟังข่าวดีตามที่ท่านขุนรับปากขอรับ”

จบคำแล้วเจ้าของรางวัลใหญ่ก็คำนับลา ท่านขุนมองแผ่นหลังอ้ายแดนลงจากเรือนของตนไปด้วยอารมณ์คิดหนัก เพราะสิ่งที่คั่งค้างอยู่คือธุระอีกอย่างที่ใหญ่หลวงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย

คุณจันทร์นั่งรออยู่ในห้องหนังสือ ครั้นเมื่อท่านขุนเว้นจากการถกเถียงกับว่าที่นายหมื่นมาแล้ว ขุนนางน้อยจึงค่อยลุกขึ้นคำนับ

“น้องมิทราบว่าพี่ชายมีแขก จึงได้มารบกวน ขอพี่ชายอย่าถือโทษน้องเลย”

ท่าทีนบนอบนั้นเห็นเป็นประจักษ์ว่าทั้งสองรู้จักกันมานาน ชาวบ้านลือกันว่าคุณจันทร์เป็นลูกนอกสมรสร่วมตระกูลขุนไกรศร หากแต่เกิดมาลักเพศเป็นโอเมกาถือว่าเป็นจุดด่างพร้อยของสกุลจึงไม่ถูกให้ความใส่ใจนัก ใช้ความสามารถและเส้นสายจนได้ยศในงานราชการ แยกตัวไปอยู่เองผู้เดียวแต่นานแล้ว

หากแต่ท่านขุนไกรกลับยิ่งถอนใจทอดอาลัยเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย หาใช่เพราะรังเกียจน้องตนไม่

“จักรบกวนเรื่องใดข้าคงมิใคร่ถาม เพราะไม่แคล้วจักเป็นเรื่องข่าวการเดินเรือของ ‘คุณเพชร’ อีกเป็นแน่”

ผู้ถูกต่อว่าเอาแต่ก้มหน้าไม่ตอบรับ สีหน้ากลับยิ่งเรียบเฉยดั่งไม่รับรู้ถึงความผิดตน จนขุนไกรอดรนทนไม่ไหวจำต้องขึ้นเสียงตะคอก

“คนเขาโจษจันกันไปทั้งตลาด เห็นว่าเจ้าไปยืนคอยท่ารอรับคุณเพชรกลับจากเรือพาณิชย์

คิดอ่านกระไรอยู่กันแน่? ก็เห็นแล้วว่าเขาอยู่กับเมีย จักไปทำไมให้เจ็บ ทั้งยังบากหน้าออกไปตัวคนเดียว หากเกิดอาการกำเริบแล้วโดนใครฉุดคร่าไปอีกจักทำเยี่ยงไร!?”

ไม่บ่อยนักที่ขุนไกรศรจักเอ็ดตะโรใส่ผู้ใด หากไม่ห่วงน้องชายตัวน้อยของตนคนนี้จากใจจริงแล้ว ก็คงไม่นั่งเป็นกังวลอยู่ให้เป็นทุกข์ เรื่องนี้ขุนนางน้อยจันทร์ก็ทราบดี แต่ที่ห้ามไม่ได้ก็คือเสียงจากหัวใจตนเอง

“อย่างไรน้องก็เป็นคนของคุณเพชร รอยนี้ที่คอน้องจักเป็นสิ่งที่ห้ามอาการเองได้ตามธรรมชาติ เหตุใดพี่ชายจึงไม่เชื่อน้องบ้าง?”

“แต่เขากัดคอกันกับเมียเขาแล้ว!” ขุนไกรศรกล่าวอย่างสุดทน

“คิดอ่านให้เป็นเหตุเป็นผล ตรองดูให้ดีเถิดน้องพี่ จักใช้ชีวิตให้ตกเป็นทาสความหลงผิดเช่นนี้ให้ได้กระไรขึ้นมา?”

ถูกพี่ชายต่างศักดิ์ทักถามด้วยคำแรงเข้า คุณจันทร์ยิ่งรู้สึกว่าผ้าแพรที่สวมคอตนอยู่เริ่มจักรัดแน่นจนหายใจไม่ออก แต่ร่องรอยที่ผ้านั้นปิดอยู่มันก็คือความจริงสำหรับขุนนางน้อยเช่นกัน

“ความลำบากใจของโอเมกาอย่างน้อง หาใช่เรื่องที่ผู้เกิดมาเหนือใครอย่างพี่ชายจักเข้าใจได้ง่าย ๆ”

“…”

พูดกันไปคงมิได้ความ ขุนไกรศรกำหมัดแน่น

“หากยังปักใจเชื่ออย่างนั้น น้องเราก็วัดใจไปเสียเลยดีรึไม่?

เมื่อครู่มีขุนนางว่าที่นายหมื่นต้องการสู่ขอเจ้าไปเป็นภรรยา หากว่าสัญญารักของเจ้ากับคุณเพชรนั้นมั่นคงนักหนาจนพาให้ไร้ทายาท ก็คิดเสียว่าอ้ายแดนมันไร้วาสนา อย่างไรก็กำพร้าตัวคนเดียวอยู่แล้ว ไม่เสียหายกระไรที่จักเป็นเครื่องพิสูจน์ใจเจ้า”

สีหน้าคุณจันทร์ซีดเผือดลงทันที รีบปรี่เข้าห้ามความคิดพิสดารของพี่ชาย

“ทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร!? พี่ชายเห็นน้องเป็นสิ่งของหรือถึงจักยกให้ผู้ใดตามใจชอบ

อีกทั้งการกระทำเช่นนี้ ฝ่ายที่เดือดร้อนก็คือฝั่งเจ้าบ่าวที่พี่จับข้าใส่พานไปมอบให้ เขาผู้นั้นก็เป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ควรถูกทำร้ายไปด้วยนะขอรับ”

มือของท่านขุนจับไหล่น้องไว้ บีบด้วยแรงที่มั่นคง

“เชื่อพี่เถิดน้องรัก ไม่มีสิ่งใดจักทำร้ายคนเราได้…เท่ากับที่ตนเฝ้าทำร้ายตัวเองดอก”

คุณจันทร์มิได้ตระหนักเลยว่า แค่เพียงการบากหน้ามาถึงเรือนพี่ชายครานี้ จักทำให้ชะตารักของตนต้องหักเหไปอีกเส้นทาง

โปรดติดตามตอนต่อไป

สามารถติดตามอ่านเนื้อหาทั้งหมดได้ในแอป