สาปพิรุณ

ตอนที่ 1

บทที่ 1

ความโกรธเกรี้ยวอันแรงกล้าได้ส่งผลให้ทุกสรรพสิ่งแปรผัน

ท้องฟ้าที่เคยสดใสกลับมืดครึ้ม มันส่งเสียงคำรามลั่นดุจสัตว์ร้าย เช่นเดียวกับคลื่นลมที่กลายเป็นพายุหมุนวนรอบกายพัฒน์พิรุณ ยมทูตหนุ่มซึ่งจำต้องกางปีกสีขาวเทาของตนเพื่อปกป้องวิญญาณเด็กสาววัยสิบสี่ที่ถึงคราวต้องได้รับการตัดสินจากยมโลก

ทุกอย่างควรเป็นไปตามครรลอง พัฒน์พิรุณต้องส่งนางให้ศาลยมโลกตั้งแต่ชั่วโมงก่อน ทว่าแผนงานกลับชะงักเพราะระหว่างทางจู่ ๆ ยักษ์ประจำศาลเทพารักษ์แห่งหนึ่งกลับเข้าขัดขวาง

“ส่งนางมาให้ข้า!”

ยักษาตะเบ็งเสียงให้เด็กสาวที่หลบหลังปีกยมทูตตัวสั่นงันงก มือนางกระชับสาบเสื้อสีดำปลอดไว้แน่น ส่ายหน้ายิกยามเขาก้มลงมอง “ได้โปรด อย่าส่งข้าให้เขา”

พัฒน์พิรุณตวัดสายตามองยักษา เป็นจังหวะเดียวกับที่กระบองหนามอาวุธคู่กายฟาดลงมาหมายทำร้าย ยมทูตจึงคว้าเอวของนางขึ้นลอยอย่างรวดเร็ว แต่ยังเฉียดให้ปีกขนนกของเขาหลุดร่วงไปกระจุกหนึ่ง

ตอนนั้นเองที่พัฒน์พิรุณฉายดวงตาสีแดงวาวโรจน์ หงุดหงิดก็ใช่ แต่โกรธเกรี้ยวไม่ต่างจากยักษานั่นน่ะจริงที่สุด ไม่เคยมีใครหน้าไหนแม้กระทั่งพระยมที่จะกล้าแตะต้องปีกของเขาแม้ปลายเล็บ แล้วไอ้ยักษาตนนี้มันเป็นใคร ถึงได้บังอาจทำให้ปีกอันแสนงดงามต้องหลุดร่วงลง!

“ข้าขอเตือนท่านด้วยความเคารพอย่างถึงที่สุด ท่านยักษา หากท่านยังดื้อรั้นจะขัดขวางหน้าที่ของข้าเช่นนี้ อย่าให้ข้าต้องใช้ไม้แข็งกับท่าน”

ยักษาชะงักกึกหนึ่ง กระนั้นคำขู่ของยมทูตกลับไม่อาจทำให้เกิดกริ่งเกรงได้ เพราะนางผู้เป็นที่รักของเขาในอดีตภพ เฝ้าดูแลประคับประคองให้อยู่อย่างสุขสบายในภพมนุษย์ กระทั่งถึงเวลาสิ้นบุญกรรม ยักษายังช่วยให้นางสิ้นลมอย่างสงบ หากเขาปล่อยนางให้เป็นไปตามเงื่อนไขของสวรรค์ เขากลัวว่าต่อจากนี้นางจะไม่มีภพชาติไหนให้เกิดได้อีก

เพราะสิ่งนั้นคือความประสงค์ของนางที่เขาไม่อาจทำใจยอมรับได้

“กูบอกให้ส่งนางมาให้กู เดี๋ยวนี้!”

ยักษาแสดงอิทธิฤทธิ์ สร้างให้พายุหมุนโอบอุ้มยมทูตกับนางผู้เป็นที่รักเอาไว้ ก่อนตวัดฝ่ามือให้พายุฟาดเข้าใส่ จนยมทูตหนุ่มเผลอปล่อยเด็กสาวหลุดมือ นางลอยเคว้งอย่างรวดเร็วมุ่งตรงไปหายักษา ส่งเสียงกรีดร้องครวญคลั่งน่าอนาถใจ

ยามนั้น พัฒน์พิรุณจึงเสกลูกแก้วทองแดงวาววับให้ปรากฏบนฝ่ามือ นัยน์ตาแดงฉานเป็นประกายดุจลาวาไฟ ยักษาเองก็เห็นแล้ว และทำให้เขาส่งเสียงคลุ้มคลั่งทันที

หากนั่นคือลูกแก้วสังขลิกา… “ไม่! อย่ากักขังนาง! นางต้องอยู่กับข้า!”

ไม่มีเวลาให้พัฒน์พิรุณได้ชั่งใจ แม้รู้ดีว่าต่อจากนี้ต้องเกิดเรื่องใหญ่ แต่เขาก็ยังพนมมือกำบังลูกแก้วเอาไว้พลางหลับตาลงนิ่ง ร่ายเวทเพียงเสี้ยววินาทีก่อนขว้างลูกแก้วทอแสงประกายตรงไปยังเด็กสาวที่ใกล้ถึงมือยักษา

เท่านั้น วิญญาณของนางก็ถูกดูดกลืนเข้าไปในลูกแก้วทองแดง ให้ทุกสรรพสิ่งหยุดการเคลื่อนไหวโดยฉับพลันกระทั่งมันหวนคืนสู่มือของพัฒน์พิรุณที่มองยักษาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

เขายังคงความเยือกเย็น เฉยชา ไม่ทุกข์ร้อนต่อความรวดร้าวโศกเศร้า

ต่อให้ยักษาจะฉีกร่างตนออกเป็นเสี่ยง ส่งเสียงโหยหวนเจียนขาดใจ พัฒน์พิรุณก็ยังทำเพียงเก็บลูกแก้วกลับคืนสู่กล่องปิดตายใบเล็ก หันตัวสยายปีกเตรียมพาตนกลับคืนสู่ยมโลก

“กูขอสาปแช่งมึง!” เสียงของยักษาไล่มาตามหลัง “หากมึงไม่สามารถหาคู่ชะตาของมึงได้ในเวลาหนึ่งปี กูจักขอให้มึงมีอันเป็นไป ขอให้ดวงจิตของมึงแตกสลาย ไม่ได้ผุดได้เกิดไม่ว่าจะภพภูมิไหนก็ตาม!”

พัฒน์พิรุณชะงักเล็กน้อย นอกจากไม่เคยมีใครสัมผัสปีก ยังรวมถึงไม่เคยมีใครแช่งชักหักกระดูกเขา ยมทูตหนุ่มจึงฟังเป็นเรื่องตลกขบขัน เขาขยับยิ้มจังหวะหนึ่ง ก่อนกระพือปีกพาตัวบินไกลออกมาแล้วลับร่างหายไปในหมู่มวลอากาศ กลับไปยังยมโลกเพื่อดำเนินการเรื่องของนางผู้นี้ให้จบสิ้นตามกระบวนการเสียที

…แม้เขาจะต้องถูกสอบสวนที่ใช้ลูกแก้วสังขลิกาก็ตาม

พัฒน์พิรุณรู้สึกได้ว่าหลายวันมานี้ใจเขาร้อนรุ่มราวกับตกอยู่ในกระทะทองแดงก็ไม่ปาน

นิเวศน์ของเขาเย็นเยียบตามปกติ แต่ครานี้กลับทำให้ยมทูตหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังหายใจไม่ออก คลับคล้ายความรู้สึกของมนุษย์ที่กำลังจมปลักอยู่ใต้น้ำ แล้วมันเพราะอะไรกันเล่า หากไม่ใช่ว่า…

“ร้อนมากนักหรือ พัฒน์พิรุณ”

เจ้าของนิเวศน์หันขวับไปตามเสียง พบภาณฤทธา ยมทูตวัยห้าร้อยปีนั่งจ้องหน้านิ่งบนเตียงหิน พัฒน์พิรุณถึงกับกลอกตาอย่างระอิดระอา เอ่ยปากอย่างที่ทำให้ภาณฤทธาทอดลมหายใจยืดยาว

“ข้าบอกท่านกี่รอบแล้ว ท่านไม่เคยจำได้เลยหรือ ภาณฤทธา”

พัฒน์พิรุณไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบให้ใครมาเยี่ยมเยียนนิเวศน์ของเขา ดังนั้นตลอดมาหากใครต้องการเรียกใช้ ขอเพียงแค่ส่งโทรจิตมาหาเขาก็พร้อมจะไป ยกเว้นก็แต่ภาณฤทธาที่ทำหูตึงไม่รู้ความ เข้าออกนิเวศน์เขาตามใจชอบ ต่อให้ลงเวทป้องกันอย่างไรก็ยังเสนอหน้าเข้ามาจนได้

แล้วคราวนี้มาด้วยเรื่องอะไรอีก!

“เหงื่อเจ้าอาบหน้า”

พัฒน์พิรุณสะกดอารมณ์ เอ่ยเสียงห้วน “บอกจุดประสงค์สักที”

“หน้าเจ้าดูหมอง…เหมือนมนุษย์หมดบุญ”

เท่านั้นขนกายยมทูตหนุ่มก็ลุกชัน พัฒน์พิรุณจ้องหน้าผู้พูด หากแต่ความคิดกำลังหวนกลับไปสู่การสู้รบกับยักษาประจำศาลเทพารักษ์เมื่อหลายวันก่อน อยู่ ๆ ถ้อยคำสาปแช่งของมันกลับชำแรกเข้ามากลางใจ เหมือนเป็นลาวาร้อนที่เตรียมเผาไหม้ให้เขาตายทั้งเป็น

แต่…พัฒน์พิรุณไม่มีวันตาย นั่นคือสวัสดิการหนึ่งของการทำหน้าที่เป็นยมทูต

“เหลวไหล”

“เอาล่ะ” ภาณฤทธายกมือขึ้นเมื่อนัยน์ตาพัฒน์พิรุณเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน “ข้าเพียงมาแจ้งว่าศาลยมโลกไม่ยกความผิดแก่เจ้าเรื่องลูกแก้วสังขลิกา”

“ผลสอบออกแล้วหรือ”

ลูกแก้วสังขลิกาคือลูกแก้วที่ยมทูตมีสิทธิ์ใช้กักขังวิญญาณที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนหากเกิดเหตุที่ทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่นว่าวิญญาณดุร้าย หรือเกิดเหตุเภทภัยใหญ่หลวงและอาจมีอันตรายสู่ยมทูต แต่จากการปะทะกับยักษาในคราวนี้ไม่ตรงกับเหตุที่ต้องเรียกใช้ หลังปลดปล่อยนางให้เผชิญหน้ากับศาลยมโลกที่จะกำหนดเส้นทางต่อไปของนาง พัฒน์พิรุณเองก็ถูกตรวจสอบโดยศาลยมโลกด้วยเช่นกัน

“มีแต่หรือไม่”

ภาณฤทธาขยับยิ้มน้อย ๆ ผายฝ่ามือตนมาตรงหน้า พริบตาเดียวลูกแก้วสังขลิกาสีทองแดงของพัฒน์พิรุณที่ถูกยึดไว้ใช้ในการสอบสวนก็ปรากฏบนฝ่ามือนั้น

พัฒน์พิรุณตาวาววับ รู้ในทันทีว่าหมายถึงสิ่งใด “ท่านจะริบของของข้างั้นรึ!”

“ใช่ข้าเสียเมื่อไร พระยมต่างหากที่ฝากฝังไว้กับข้า” ภาณฤทธาตอบกลับพลางตวัดข้อมือกอบกำลูกแก้วไว้ในมือ ก่อนเสกให้อันตรธานไปต่อหน้าเจ้าของของมัน “ต่อให้เรื่องนี้จะสมเหตุสมผล แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าค่อนข้างใจร้อนอยู่สักหน่อย”

ใจร้อนเนี่ยนะ! “ท่านไม่อยู่ในเหตุการณ์ แล้วกล้าพูดว่าข้าใจร้อนได้อย่างไร นี่มันกล่าวหากันชัด ๆ!”

“ไปบ่นกับศาลเถอะ”

ภาณฤทธาหยัดกายขึ้นยืน ก้าวตรงมาหาพัฒน์พิรุณซึ่งถือเป็นรุ่นน้องตน สบสานกับสายตาดื้อรั้นเจือเกรี้ยวกราดที่ยังแดงฉานอยู่แล้วหัวเราะเบา ๆ “นี่ไงล่ะใจร้อน ข้าพูดเท่านี้ตาเจ้ายังแดงฉาน…งานของสองวันนี้ข้าจะเป็นคนจัดการต่อเอง ส่งบัญชีสิ้นบุญกรรมมาให้ข้าด้วยแล้วกัน”

ไม่รอคำตอบ ภาณฤทธาก็หายวับไปจากนิเวศน์เย็นเยียบ ตรงข้ามกับพัฒน์พิรุณที่ยังเดือดดาลยิ่งกว่าไฟ เขาหลับตาลงนิ่ง กำหนดลมหายใจ พยายามนึกถึงทำนองเพลงลมหายใจเข้าลมหายใจออกดอกไม้บานที่ได้ยินบ่อย ๆ ในโรงพยาบาลของโลกมนุษย์ พอสงบจิตสงบใจได้ พัฒน์พิรุณถึงทิ้งกายลงนั่งบนเตียงหิน ขัดสมาธิหลับตา ร่ายเวทป้องกันรอบนิเวศน์ของตนด้วยมนตร์ที่หนาขึ้นกว่าทุกครั้ง

หวังว่าจะทำให้ภาณฤทธาไม่สามารถเข้ามาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้อีก หากไม่ได้…เขานี่ละจะเข้าสู่ภูม1แห่งการจำศีลให้รู้แล้วรู้รอดไป!

ไม่ดีแน่…

พัฒน์พิรุณรู้แล้วว่าการครั่นเนื้อครั่นตัวไปด้วยความร้อนรน ต้องเกิดจากคำสาปแช่งของยักษาตนนั้นแน่ ดังนั้นในเช้าวันถัดมา ยมทูตหนุ่มถึงได้เดินทางไปยังที่ว่าการศาลยมโลกโดยไม่ได้นัดหมายก่อน โชคยังดีที่พระยมอนุญาตให้เขาเข้าพบได้โดยไม่ถามเหตุผล เป็นเขาเสียอีกที่ร้อนใจจนไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไปแล้ว

“ด้วยความเคารพขอรับ พระยม กระผมขอดูบัญชีของกระผมได้หรือไม่”

พระยมตัวสูงใหญ่ รอบกายมีไอร้อนดุจไฟเป็นสัญลักษณ์ ดวงตาเรียวรีคมกริบดั่งมีดอีโต้กำลังจ้องมองมาที่พัฒน์พิรุณอย่างเงียบงัน อีกช่วงเวลาหนึ่งถึงเลิกคิ้ว ไถ่ถามเสียงงุนงง “มึงจะเอาไปทำกระไร ไอ้พัฒน์พิรุณ”

“ท่านคงทราบแล้วว่าเหตุเมื่อคราวก่อน…”

“ที่มึงไปมีเรื่องกับยักษ์ประจำเมืองน่ะรึ”

“กระผมหาได้มีเรื่อง เป็นมันต่างหาก” พัฒน์พิรุณโต้ทันควัน “และท่านคงทราบแล้วว่ากระผมถูกสาปแช่ง หากแต่กระผมไม่ทราบว่าคำสาปแช่งนั้นส่งอิทธิฤทธิ์ถึงกระผมหรือไม่”

“มึงเลยอยากดูชะตาชีวิตตัวเองน่ะรึ”

“ขอรับ”

พระยมจ้องหน้ายมทูตหนุ่มอีกหลายอึดใจ ก่อนที่สุดจะถอนหายใจยาว ปาดมือกับอากาศเพียงห้วงวินาทีหน้าจอใสแจ๋วระบบดิจิทัลที่พระวิษณุกรรมประดิษฐ์ให้ใช้เมื่อสิบปีก่อนก็ปรากฏแก่สายตา พัฒน์พิรุณมองการประมวลผลของมันอย่างเงียบ ๆ แทบลืมหายใจเมื่อตัวอักษรหยุดนิ่งและฉายภาพของเขาในกรอบรูปขนาดหนึ่งนิ้วบนจอใสด้านซ้าย และมีตัวอักษรเรียงรายเต็มหน้ากระดาษ

แต่เดี๋ยวนะ… “ไหนว่าจะไม่มีการเก็บประวัติของยมทูตไว้แล้ว…ไม่ใช่หรือพระยม”

“มึงไปฟังใครเขามาอีกล่ะ ภาณฤทธาหรือไง” พระยมถามกลั้วหัวเราะ “ถ้ากูเอาประวัติพวกมึงออก เงินเดือนพวกมึงจะไม่แปรผันตามการทำงานน่ะซี่ นี่กูก็เพิ่งให้เลขาใส่ประวัติล่าสุดของมึงไป ที่ไปโยนลูกแก้วสุ่มสี่สุ่มห้านั่นน่ะ”

“…เงินเดือนกระผมจะได้ลดลงใช่ไหมขอรับ”

“ไม่ลด อันที่จริงคงยังไม่มีใครส่งข่าวบอกมึงใช่ไหม ศาลยมโลกลงความเห็นกันว่าฝ่ายผิดคือยักษา ดังนั้นจึงส่งเรื่องต่อให้เทพารักษ์เรียบร้อยแล้ว ทางนั้นจะจัดการลงทัณฑ์ต่อเอง”

ได้ยินอย่างนั้นก็เบาใจ…ไม่สิ ไม่เห็นเกี่ยวกัน! “แล้วคำสาปแช่งเล่าขอรับ”

“เออ ๆ กูรู้แล้ว” พระยมยกมือโบกปัดอย่างรำคาญ สายตากลับไปยังหน้าจอใส ยามอ่านเนื้อหา พลันความขึงเครียดก็มาเยือน พระยมมองมาทางพัฒน์พิรุณชั่วแวบหนึ่งแล้วกลับไปมองจอ นิ่งงันอยู่ชั่วอึดใจถึงถอนใจเฮือกยาว

และสิ่งที่พัฒน์พิรุณไม่อยากได้ยินก็ดังขึ้น “มึงเหลือเวลาอยู่อีกสามร้อยหกสิบวัน”

ยมทูตหนุ่มชาไปทั้งกาย เขาต้องการคำยืนยัน และพระยมก็หยิบยกให้ด้วยการพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง แสงไฟรอบกายเข้มข้นขึ้น การันตีความจริงอย่างที่ทำให้พัฒน์พิรุณแทบล้มทั้งยืน

“กระผมจะแก้คำสาปแช่งนี้ได้อย่างไร”

พระยมถอนหายใจซ้ำอีก เสียงที่ตอบกลับมาอ่อนลงกว่าทุกที ไม่ว่าจะด้วยเพราะสังเวชหรืออะไรก็ตาม “มึงก็ต้องทำตามที่มันสาปแช่งไว้นั่นละ พัฒน์พิรุณ”

ต้องเจอคู่ชะตาของตนเองน่ะหรือ…เหลวไหลสิ้นดี! “ท่านทราบดีว่ายมทูตไร้ความรู้สึกรัก แล้วกระผมจะมีคู่ชะตาอย่างที่มันว่าได้อย่างไรขอรับ”

“มึงอาจลืมไปสิ่งหนึ่ง พัฒน์พิรุณ” พระยมว่าอย่างนั้น “ยมทูตจะไร้ความรู้สึกรักได้อย่างไร ในเมื่อแม้แต่พระยมอย่างกูยังมีเมีย”

รัตติกาลกำลังร่ายเวทรดน้ำดอกไม้ในสวนสไตล์ยุโรปซึ่งสร้างไว้ด้านหน้าวิมานตนในตอนที่มีนกแสกตัวหนึ่งบินโฉบมาเกาะลงที่ไหล่ของนาง

เทพแห่งรักสะดุ้งด้วยความตกใจ ครั้นเห็นชัดว่านกแสกที่แสนไร้มารยาทบินออกจากไหล่แล้วจำแลงกายกลับคืน นางถึงจ้องหน้าไร้อารมณ์นิ่งงัน ที่ฝ่ามือเรียวสวยยังมีประกายน้ำรินรดดอกกุหลาบอังกฤษ ให้ผู้บุกรุกมองตาม กระทำการเอาแต่ใจด้วยการตวัดฝ่ามือจนเกิดเป็นลมร้อนพัดพาให้หยาดน้ำหายไป

รัตติกาลตาวาววับ แต่ดูแล้วคงไม่เท่านัยน์ตาแดงฉานของพัฒน์พิรุณ นางได้แต่มองยมทูตหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และไม่ว่าอย่างไร พัฒน์พิรุณสำหรับนางยังน่าขัดใจอยู่เสมอ ไม่ใช่เพราะเขามีรูปลักษณ์ดั่งเทพบุตรงดงาม ร่างสูงหุ่นเพรียว ผิวขาวเนียนละเอียดดุดใยนุ่น รูปหน้าคมคายเกลี้ยงเกลา ยิ่งอยู่ในอาภรณ์สูทดำปลอดทั้งตัว เว้นเพียงเนกไทสีแดงนั่นแล้ว…ทุกอย่างดูไร้ที่ติราวกับเป็นเทวดาก็ไม่ปาน

และก็นั่นละ พัฒน์พิรุณไม่สมควรจะได้เป็นยมทูตเลยจริง ๆ

“ข้าขอเข้าเรื่องเลยได้หรือไม่”

พัฒน์พิรุณเอ่ยเมื่อไม่อาจทนสายตาเวทนาได้อีกแล้ว หากแต่เทพแห่งรักกลับยักไหล่ หันหน้ากลับไปยังกุหลาบอังกฤษอีกหนพลางเอ่ย “หากไม่มีเรื่องกวนใจ ท่านคงไม่มาหาข้าหรอกใช่ไหม พัฒน์พิรุณ”

ก็ใช่…ด้วยเพราะวิมานของนางช่างแตกต่างจากนิเวศน์ของเขาราวฟ้ากับเหว วิมานสีขาวของเทพแห่งรักเป็นประกายชมพูระยับ เต็มเปี่ยมไปด้วยความปรานี อบอุ่น เตรียมพร้อมเสมอที่จะได้มอบความรักสมกับตำแหน่งของนาง ต่างจากนิเวศน์ของเขาที่สร้างด้วยหิน ทุกอย่างดำเลื่อมเย็นเยียบ ไร้อารมณ์และสีสันโดยสิ้นเชิง

การมาเยือนวิมานของเทพแห่งรักในแต่ละครั้งจึงต้องเกิดจากเหตุเร่งด่วนหรือใหญ่หลวง

“รัตติกาล ท่านได้ยินเรื่องของข้าแล้วหรือไม่”

รัตติกาลเหลียวตามองผู้ถาม “ข้าต้องใส่ใจจะรู้หรือไม่”

“ใส่ใจหน่อยก็ดี เพราะหากท่านยังอยากเห็นข้าวนเวียนอยู่แถวนี้ ไม่ใช่ดวงจิตแตกยับดับไป”

นั่นเองที่ทำให้รัตติกาลหยุดการร่ายเวทลง นางยกมือที่มีละอองน้ำขึ้นเทียบอก ให้สายลมอ่อนอุ่นพัดโพยจนแห้งเหือดแล้วสะบัดผ้าคลุมสีขาวไล่ชมพูก่อนนั่งลงบนเก้าอี้เหล็กสีขาว ผายมือให้พัฒน์พิรุณนั่งตาม ถามเสียงจริงจังในที่สุด

“หลายวันมานี้ข้าลาพักร้อนอยู่แต่ในวิมาน ไม่รับรู้ข่าวสารของใคร มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือท่านยมทูต”

“ข้าถูกสาป”

เทพแห่งรักชะงัก “ถูกสาป? ได้อย่างไรกัน”

“เรื่องค่อนข้างยาว เอาเป็นว่า…” พัฒน์พิรุณยืดหลังตรง เอ่ยด้วยท่าทีเครียดขึงผิดปกติ “ข้าถูกสาปให้ดวงจิตแตกดับหากภายในหนึ่งปีนี้ข้าไม่พบคู่ชะตาของตัวเอง ตอนนี้ดวงจิตข้าเหลือเวลาเพียงสามร้อยหกสิบวัน และท่านคือคนเดียวที่จะช่วยข้าได้”

เท่านั้นรัตติกาลก็เข้าใจ นางมีบัญชีคู่ชะตาของมนุษย์รวมถึงเทพยดา ทุกสรรพสิ่งบนโลกที่สามารถเสกสรรค์ให้เกิดรัก ทว่านางไม่มั่นใจนักว่าจะรวมถึงยมทูตที่เหมือนถูกสาปให้ไร้รักหรือไม่

แม้นางจะมีบัญชีของทุกผู้คน หากแต่นางไม่เคยคิดก้าวก่าย แจกจ่ายความรักให้ทุกคนได้ถือครอง

“แน่ใจแล้วหรือ”

“พระยมเช็กจากบัญชีของข้าแล้ว”

รัตติกาลนิ่งไปเล็กน้อย นางหลับตาลงไม่เอ่ยวาจาใดอยู่อีกสองนานกว่าจะลืมตาขึ้นอีกหน แววตาที่ทอดมองพัฒน์พิรุณเต็มไปด้วยความสังเวชเหมือนที่พระยมมองไม่ผิดเพี้ยน เห็นจะมีก็แต่ความอ่อนหวานที่ทำให้มันลดทอนลงไปบ้าง

“ท่านแน่ใจหรือไม่ พัฒน์พิรุณ ว่าท่านต้องการจะหาคู่ชะตาของท่านให้พบ”

“แล้วจะยอมให้ข้าพ่ายแพ้มันอย่างนั้นหรือ รัตติกาล ข้าไม่ต้องการสิ่งใดนอกไปจากถอนคำสาปแช่งของไอ้เวรตะไลนั่นให้พ้นตัว”

นางพยักหน้าอย่างเข้าใจ หยัดกายขึ้นยืนก่อนหายเข้าไปในวิมานของตน นั่งรอเพียงอึดใจรัตติกาลก็กลับมาพร้อมจอดิจิทัลรูปทรงผืนผ้า นางทิ้งตัวลงนั่งตามเดิม สะบัดเรียวนิ้วโดยไม่แตะต้องหน้าจอแม้เพียงนิด กระนั้นจอกลับขยับไปตามการร่ายมนตร์ของนางอย่างลื่นไหล

กระทั่งรัตติกาลหยุดนิ่ง ไล่สายตามองหน้าจอที่แสดงบัญชีของพัฒน์พิรุณ นางถึงเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ท่านมีคู่ชะตา พัฒน์พิรุณ” นางเอ่ยพลางแย้มยิ้มงดงาม “เพียงแต่หากท่านต้องการข้อมูล ท่านต้องนำของมาบรรณาการข้าสิ่งหนึ่ง”

“ได้ทั้งหมด ท่านต้องการสิ่งใด”

“กุหลาบพันธุ์หายากจากโลกมนุษย์” รัตติกาลยิ้มพราวขณะที่ยมทูตหนุ่มได้แต่อ้าปากค้าง “ตอนนี้ท่านกลับไปก่อนเถิด ให้ข้ามีเวลารวบรวมพันธุ์ที่ต้องการ ข้าจะส่งข้อมูลให้ท่าน…ผ่านทางไหนดีล่ะ อีเมลหรือแชต”

“อีเมลแล้วกัน…อย่างนี้แสดงว่าข้าต้องอดทนรอหรือไร”

“อยากได้ก็ต้องแลก”

เทพแห่งรักเอ่ยเท่านั้นก่อนส่งแขกของตนด้วยการสะบัดมือเพียงเบา ๆ แต่ส่งผลให้พัฒน์พิรุณจำแลงกายกลับเป็นนกแสกและถูกลมอุ่นกรุ่นกลิ่นหอมซึ่งเป็นมนตร์ของเทพแห่งรักพัดพาอย่างรุนแรงออกนอกอาณาเขต ไม่เปิดโอกาสให้นกแสกได้แสดงความโมโหโกรธเกรี้ยวก็ปิดประตูเวทป้องกันการรุกล้ำวิมานในบัดนั้น

ปล่อยให้พัฒน์พิรุณในร่างนกแสกได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาอุตส่าห์ได้หยุดทำภารกิจเพราะภาณฤทธารับช่วงต่อ แต่ยังต้องลงไปโลกมนุษย์เพื่อตามหาดอกไม้บ้าบอมาเสริมแต่งให้สวนสไตล์ยุโรปของนางอีกงั้นหรือ

แต่พัฒน์พิรุณจะทำอะไรได้นอกจากยอม ยอมเท่านั้น!

โปรดติดตามตอนต่อไป

1 สถานที่อันเป็นส่วนตัวของเทพยดาทั้งหลาย ตั้งขึ้นโดยจิตของผู้สร้าง ถือเป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นโดยมีอยู่หลายห้องหลายรูปแบบแตกต่างกันไป และจะไม่มีใครมีสิทธิ์เข้าถึงหากไม่ได้รับการอนุญาตหรือถูกปิดกั้นแน่นหนา

สามารถติดตามอ่านเนื้อหาทั้งหมดได้ในแอป